คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 943/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาเช่าซื้อและค้ำประกันระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองได้กำหนดไว้ด้วยว่า ให้เสนอคดีเกี่ยวกับข้อพิพาทที่จะเกิดขึ้นจากสัญญาดังกล่าวต่อศาลในกรุงเทพมหานคร และเมื่อขณะทำสัญญานั้นโจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลแพ่งกรณีย่อมพึงเห็นเจตนาของโจทก์จำเลยทั้งสองได้ว่า ศาลในกรุงเทพมหานครที่ระบุในสัญญาให้เสนอคดีนั้นก็คือศาลแพ่งนั่นเอง โจทก์จึงมีสิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาลแพ่งได้. (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3/2530)

ย่อยาว

โจทก์ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลแพ่งฟ้องจำเลยทั้งสองซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลจังหวัดนครปฐมต่อศาลแพ่ง ให้จำเลยทั้งสองรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อและค้ำประกันซึ่งได้ตกลงกันไว้ด้วยว่า ให้เสนอคดีเกี่ยวกับข้อพิพาทที่จะเกิดขึ้นจากสัญญาดังกล่าวต่อศาลในกรุงเทพมหานคร
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่วินิจฉัยว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 7 (4) ศาลที่คู่กรณีพึงตกลงกันให้ฟ้องคดีจะต้องเป็นศาลที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หรือมูลคดีเรื่องนั้นได้เกิดขึ้นหรือทรัพย์สินที่พิพาทกันนั้นตั้งอยู่ภายในเขตศาลอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งปรากฏตามสำเนาหนังสือรับรองของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 ว่า โจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ที่เลขที่ 865 ถนนพระราม 1แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร และขณะที่โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันกับจำเลยทั้งสองนั้น โจทก์ยังคงมีภูมิลำเนาอยู่ที่เดิม ภูมิลำเนาของโจทก์ขณะทำสัญญาจึงอยู่ในเขตอำนาจของศาลแพ่ง กรณีพึงเห็นเจตนาของโจทก์จำเลยคดีนี้ที่ระบุในสัญญาว่ให้เสนอคดีต่อศาลในกรุงเทพมหานครก็คือศาลแพ่งนั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้โจทก์จึงมีสิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาลแพ่งได้ ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องโจทก์โดยเห็นว่าเป็นข้อตกลงที่ระบุไม่แจ้งชัดว่าให้ฟ้องคดีต่อศาลใด เพราะศาลชั้นต้นในกรุงเทพมหานครมีมากกว่าหนึ่งศาลนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาและดำเนินการต่อไป.

Share