แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 175 วรรคสอง (1)ศาลจะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องคดีแพ่งหรือไม่นั้นอยู่ในดุลพินิจของศาล แม้จำเลยคัดค้านก็อนุญาตให้ถอนฟ้องได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งห้าผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน ขอให้บังคับให้ปฏิบัติตามสัญญา จำเลยทั้งห้าให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้องต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง จำเลยที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 5แถลงไม่คัดค้าน ส่วนจำเลยที่ 2 แถลงคัดค้าน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยอื่นจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ทำสัญญาจะขาย และชำระค่าเสียหายให้โจทก์ จำเลยที่ 2 ให้การว่าไม่เคยยินยอมมอบหมายหรือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนในการลงนามในฐานะคู่สัญญาฝ่ายผู้จะขาย สัญญาดังกล่าวจึงไม่ผูกพันจำเลยที่ 2ขอให้ยกฟ้อง โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีกับจำเลยทั้งห้าต่อไปอีก ทั้งนี้โดยได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันนอกศาลแล้ว โจทก์ไม่ประสงค์จะเรียกร้องสิ่งใด ๆ จากจำเลยทั้งห้าอีกจึงขอถอนฟ้องคดีนี้ ศาลชั้นต้นได้สอบถามจำเลยทั้งห้าแล้ว ทนายจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5และจำเลยที่ 4 แถลงไม่คัดค้าน ส่วนทนายจำเลยที่ 2 แถลงคัดค้านการขอถอนฟ้อง เนื่องจากจำเลยที่ 2 ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 5เรื่องนี้เป็นคดีอาญาข้อหายักยอกทรัพย์ เห็นว่า ศาลชั้นต้นได้สอบถามจำเลยทั้งห้าและฟังคำคัดค้านของจำเลยที่ 2 แล้ว ศาลชั้นต้นจึงอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 175 วรรคสอง (1) ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2คัดค้านการขอถอนฟ้องของโจทก์แล้ว และไม่เคยตกลงประนีประนอมยอมความกับโจทก์เลยไม่ว่าจะเป็นในศาลหรือนอกศาล เห็นว่าศาลจะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องคดีแพ่งหรือไม่นั้นอยู่ในดุลพินิจของศาล แม้จำเลยคัดค้านก็อนุญาตให้ถอนฟ้องได้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 จึงฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 5ได้ทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินตามฟ้องโดยสมรู้ร่วมคิดกันโดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ไม่ทราบเรื่องมาก่อนสัญญาจะซื้อขายมีวัตถุประสงค์ที่ขัดต่อกฎหมาย เพราะเป็นที่ดินที่ห้ามโอนภายใน10 ปี ตามมาตรา 31 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน โจทก์จะแพ้คดีและโจทก์จำเลยที่ 1 และที่ 5 จะเสียผลประโยชน์ในที่ดินที่จำเลยที่ 2มีกรรมสิทธิ์ร่วม จำเลยที่ 2 ต้องเสียชื่อเสียงและค่าใช้จ่ายในการเดินทางจากกรุงเทพมหานครไปจังหวัดเชียงราย ค่าทนายความและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีกมาก การกระทำของโจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 5เป็นการร่วมกันนำคดีมาฟ้องโดยไม่สุจริต เห็นว่า คดีนี้จำเลยที่ 2ให้การต่อสู้คดีแต่เพียงว่าจำเลยที่ 2 ไม่เคยยินยอมมอบหมายหรือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนทำสัญญาจะขายที่ดินกับโจทก์ขอให้ยกฟ้อง จำเลยมิได้ให้การฟ้องแย้งแต่อย่างใด และโจทก์ก็ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องว่าไม่ประสงค์จะเรียกร้องสิ่งใด ๆ จากจำเลยทั้งห้าอีก ที่จำเลยที่ 2 คัดค้านว่าได้ฟ้องคดีอาญา จำเลยที่ 1 และที่ 5ก็มิได้เกี่ยวข้องกับโจทก์ จำเลยที่ 2 มิได้คัดค้านการถอนฟ้องว่าจำเลยที่ 2 ต้องเสียค่าใช้จ่าย ขอให้โจทก์ชดใช้ให้แต่อย่างใดศาลยังไม่ได้พิจารณาพิพากษาจึงยังไม่ทราบว่าโจทก์จะแพ้คดีหรือไม่จึงยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ไม่สุจริตเอาเปรียบจำเลยที่ 2 ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน