แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เรือต้องคลื่นลมแรงและสภาวะอากาศที่เลวร้ายมากในระหว่างทาง เมื่อไม่ปรากฏว่าคลื่นลมและสภาวะอากาศดังกล่าวมีความร้ายแรงถึงขนาดที่ไม่อาจจะป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่สินค้าในเรือได้ คลื่นลมและสภาวะอากาศเช่นนั้นจึงมิใช่เหตุสุดวิสัยตาม ป.พ.พ. มาตรา 8 อันจะทำให้ผู้ขนส่งหลุดพ้นความรับผิดในกรณีสินค้าสูญหายระหว่างการขนส่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 616
ป.พ.พ. มาตรา 824 บัญญัติให้ตัวแทนในประเทศรับผิดแทนตัวการซึ่งอยู่ต่างประเทศและมีภูมิลำเนาในต่างประเทศต่อบุคคลภายนอกก็เฉพาะแต่กรณีที่ตัวแทนผู้นั้นได้ทำสัญญากับบุคคลภายนอกแทนตัวการเท่านั้น เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ทำสัญญาขนส่งสินค้ากับบุคคลภายนอกแทนตัวการ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาดังกล่าวแต่ลำพังตนเอง
จำเลยเป็นผู้ทำหน้าที่ขนถ่ายสินค้าจากเรือไปเก็บในคลังสินค้า เป็นผู้จัดหาผู้รับเหมามาจัดการขนถ่ายสินค้า เป็นตัวแทนเรือเดินทะเลหลายบริษัทรวมทั้งบริษัทฟ. ซึ่งไม่มีตัวแทนอื่นในประเทศไทย และหากมีผู้ใดต้องการส่งสินค้าโดยเรือของบริษัท ฟ. จำเลยจะเป็นผู้รับติดต่อและเป็นผู้ออกใบตราส่งให้แก่ผู้ส่งสินค้า และเก็บค่าระวางเรือส่งไปให้เจ้าของเรือ เมื่อเรือของบริษัทดังกล่าวมาถึงประเทศไทยจำเลยมีหน้าที่ต้องติดต่อกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อทำการขนถ่ายสินค้า แจ้งให้ลูกค้าผู้สั่งซื้อสินค้าทราบถึงกำหนดเรือเข้า ออกใบปล่อยสินค้าเพื่อให้ลูกค้านำไปขอรับสินค้า และจำเลยรับเอาใบตราส่งจากลูกค้าไว้ พฤติการณ์เช่นนี้ของจำเลยเป็นลักษณะร่วมกันขนส่งสินค้าและเป็นการขนส่งหลายทอดตามวิธีการขนส่งทางทะเลโดยจำเลยทำหน้าที่ผู้ขนส่งทอดหลังที่สุด จำเลยจึงต้องรับผิดร่วมด้วยในกรณีสินค้าที่ขนส่งสูญหายตาม ป.พ.พ. มาตรา 618 ซึ่งเป็นบทกฎหมายใกล้เคียงกับกฎหมายว่าด้วยการรับขนทางทะเล
การรับขนของจากต่างประเทศมายังประเทศไทยทางทะเล แม้ของจะมาถึงประเทศไทยแล้ว ก็ยังเป็นสัญญาในการรับขนของทางทะเล ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายและข้อบังคับว่าด้วยการรับขนทางทะเลโดยเฉพาะการเรียกร้องค่าเสียหายจึงต้องใช้อายุความทั่วไปตาม ป.พ.พ.มาตรา 164 มีกำหนด 10 ปี ซึ่งเป็นบทกฎหมายใกล้เคียงยิ่งกว่าที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. ลักษณะ 8 เรื่องรับขน.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ประกอบกิจการประกันภัยในประเทศไทย จำเลยเป็นตัวแทนในประเทศไทยของบริษัทฟูจิวาราไลน์ จำกัดซึ่งเป็นเจ้าของเรือทิมมาร์เวนเจอร์และเป็นผู้ขนส่งทอดหลังสุดต่อจากเรือดังกล่าว ห้างหุ้นส่วนจำกัดบุญประสิทธิ์ได้สั่งซื้อสินค้าประเภทเครื่องทำเกลียวจำนวน 84 กล่องจากบริษัทในประเทศญี่ปุ่นเป็นเงิน439,787.78 บาทสินค้าทั้งหมดขนลงเรือทิมมาร์เวนเจอร์ห้างหุ้นส่วนจำกัดบุญประสิทธิ์ได้เอาประกันวินาศภัยของสินค้าในระหว่างการขนส่งไว้กับโจทก์ เมื่อสินค้าถึงท่าเรือกรุงเทพปรากฏว่าสินค้าขาดจำนวนไป 11 กล่องเป็นเงิน 66,916.09 บาทและก่อนที่จะรับสินค้าจากโกดัง ปรากฏว่ามีสินค้าได้สูญหายไปจากกล่องบรรจุอีกคิดเป็นเงิน 21,607.44 บาทโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยได้ชดใช้ค่าเสียหายเพราะสินค้าสูญหายดังกล่าวให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดบุญประสิทธิ์ไปแล้ว และได้รับโอนสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยไว้เป็นหลักฐานขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้จำนวน101,019.89 บาทกับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน88,523.53 บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะห้างหุ้นส่วนจำกัดบุญประสิทธิ์ทำสัญญาไว้กับบริษัทฟูจิวาราไลน์ จำกัดว่าให้ฟ้องร้องกันภายใน 1 ปีและโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายคดีนี้เมื่อล่วงเลยกำหนด 2 ปีจึงขาดอายุความตามกฎหมาย จำเลยไม่ได้เป็นตัวแทนในการขนส่งสินค้าในประเทศไทยของบริษัทฟูจิวาราไลน์ จำกัดจำเลยมิได้เป็นผู้ขนส่งทอดหลังที่สุดต่อจากเรือทิมมาร์เวนเจอร์สินค้าสูญหายเนื่องจากพายุระหว่างทางอันเป็นเหตุสุดวิสัยจำเลยไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ 88,523.53 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้3,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลยโดยกำหนดค่าทนายความรวม4,000 บาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘ปัญหาว่าสินค้าสูญหายเพราะเหตุสุดวิสัยหรือไม่โจทก์จำเลยนำสืบตรงกันว่าเมื่อเรือทิมมาร์เวนเจอร์มาถึงท่าเรือกรุงเทพกัปตันเรือได้มีหนังสือแจ้งสงวนสิทธิ์ไว้ต่ออธิบดีกรมเจ้าท่าตามเอกสารหมาย ล.2 ซึ่งมีคำแปลเป็นภาษาไทยว่าสินค้าสูญหายเนื่องจากคลื่นลมแรงและสภาวะอากาศที่เลวร้ายมากเมื่อระหว่างวันที่ 6 ถึง 8 มีนาคม 2524 เหตุเกิดขึ้นขณะที่เรืออยู่ในตำแหน่งที่แลต 30-21-0N ลอง 132-48-8E ดังนั้นจึงทำหนังสือนี้เพื่อสงวนสิทธิ์ต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด สินค้าขาดจำนวนสินค้าเกิดความเสียหาย และอื่น ๆ และขอสงวนสิทธิ์ที่จะให้รายละเอียดเพิ่มเติมตามเวลาและสถานที่ที่จะสะดวกศาลฎีกาเห็นว่าตามข้อความดังกล่าวคงรับฟังได้ว่าเรือต้องคลื่นลมแรงและสภาวะอากาศที่เลวร้ายมากในระหว่างทางเท่านั้นเมื่อไม่ปรากฏว่าคลื่นลมและสภาวะอากาศดังกล่าวมีความร้ายแรงถึงขนาดที่ไม่อาจจะป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่สินค้าในเรือได้ คลื่นลมและสภาวะอากาศเช่นนั้นจึงมิใช่เหตุสุดวิสัยตามมาตรา 8 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อันจะทำให้ผู้ขนส่งหลุดพ้นความรับผิดในกรณีสินค้าสูญหายระหว่างการขนส่งตามบทบัญญัติมาตรา 616 แห่งบทกฎหมายดังกล่าว
ปัญหาว่าจำเลยต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ในฐานะเป็นตัวแทนของบริษัทฟูจิวาราไลน์ จำกัดหรือในฐานะเป็นผู้ขนส่งทอดหลังที่สุดหรือไม่เพียงใดนั้นสำหรับความรับผิดของจำเลยในฐานะตัวแทน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 824 บัญญัติให้ตัวแทนในประเทศรับผิดแทนตัวการซึ่งอยู่ต่างประเทศและมีภูมิลำเนาในต่างประเทศต่อบุคคลภายนอกก็เฉพาะแต่กรณีที่ตัวแทนผู้นั้นได้ทำสัญญากับบุคคลภายนอกแทนตัวการเท่านั้น แต่ตามพยานหลักฐานโจทก์คดีนี้ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ทำสัญญาขนส่งสินค้ากับห้างหุ้นส่วนจำกัดบุญประสิทธิ์หรือบ้วนฮงเส็งแทนตัวการจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์คดีนี้ในฐานะเป็นตัวแทนบริษัทฟูจิวาราไลน์ จำกัดผู้เป็นตัวการ คงมีปัญหาว่าจำเลยต้องรับผิดในฐานะเป็นผู้ขนส่งทอดหลังที่สุดหรือไม่เพียงใดในปัญหาดังกล่าว โจทก์มีนายสุรพล ชีพอารนัยเจ้าหน้าที่ของโจทก์กับนายการเวก นิลโตมาเบิกความว่าจำเลยเป็นผู้ทำหน้าที่ขนถ่ายสินค้าจากเรือทิมมาร์เวนเจอร์ไปเก็บในคลังสินค้าของการท่าเรือแห่งประเทศไทยโดยเป็นผู้จัดหาผู้รับเหมา (สตีวีโดร์) มาจัดการขนถ่ายสินค้าและจำเลยนำสืบยอมรับโดยมีนายพินิจ ทัศนาภิรมย์มาเบิกความว่าจำเลยประกอบธุรกิจเป็นตัวแทนเรือเดินทะเลหลายบริษัทรวมทั้งบริษัทฟูจิวาราไลน์ จำกัดซึ่งไม่มีตัวแทนอื่นในประเทศไทยและหากมีผู้ใดต้องการส่งสินค้าโดยเรือของบริษัทฟูจิวาราไลน์ จำกัด จำเลยจะเป็นผู้รับติดต่อและเป็นผู้ออกใบตราส่งให้แก่ผู้ส่งสินค้าและเก็บค่าระวางเรือส่งไปให้บริษัทเจ้าของเรือเมื่อเรือสินค้าของบริษัทดังกล่าวมาถึงประเทศไทยจำเลยมีหน้าที่ต้องติดต่อกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่นการท่าเรือแห่งประเทศไทย กรมเจ้าท่า กรมศุลกากรและกองตรวจคนเข้าเมืองเพื่อทำการขนถ่ายสินค้าแจ้งให้ลูกค้าผู้สั่งซื้อสินค้าทราบถึงกำหนดเรือเข้า ออกใบปล่อยสินค้า (เดลิเวอรี่ออร์เดอร์) เพื่อให้ลูกค้านำไปขอรับสินค้าจากเจ้าหน้าที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยและรับเอาใบตราส่งที่ลูกค้านำมาส่งมอบแก่จำเลย ทั้งนี้โดยจำเลยได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากบริษัทฟูจิวาราไลน์ จำกัดคำพยานจำเลยดังกล่าวเจือสมพยานโจทก์ให้รับฟังได้ว่าพฤติการณ์ของจำเลยเป็นลักษณะร่วมกันขนส่งสินค้าและเป็นการขนส่งหลายทอดตามวิธีการขนส่งทางทะเลโดยจำเลยทำหน้าที่ผู้ขนส่งทอดหลังที่สุดจำเลยจึงต้องรับผิดร่วมด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา618 ซึ่งเป็นบทกฎหมายใกล้เคียงกับกฎหมายว่าด้วยการรับขนทางทะเล
ส่วนปัญหาว่าจำเลยจะต้องรับผิดเพียงใดนั้นโจทก์นำสืบว่าสินค้าสูญหาย 11 หีบห่อ และหีบห่อแตกชำรุดทำให้สินค้าภายในหีบห่อสูญหายไปอีก 4 หีบห่อคิดราคาสินค้าสูญหายทั้งสิ้น88,522.53 บาทโจทก์ได้ชำระค่าเสียหายแก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดบุญประสิทธิ์หรือบ้วนฮงเส็งไปตามสัญญาประกันภัยและห้างดังกล่าวได้โอนสิทธิเรียกร้องสำหรับค่าเสียหายจำนวนนี้ให้โจทก์แล้วตามเอกสารหมาย จ.11 เมื่อโจทก์เรียกร้องให้จำเลยชดใช้จำเลยเสนอจะชำระเพียง 20,595.87 บาทตามเอกสารหมาย จ.13 โดยมิได้โต้แย้งว่าจำนวนเงินค่าเสียหายไม่ถูกต้อง ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าสินค้าสูญหายไปในระหว่างขนส่งคิดเป็นเงิน 88,523.53 บาทตามที่โจทก์นำสืบ
สำหรับปัญหาว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าการรับขนของจากต่างประเทศมายังประเทศไทยทางทะเล แม้ของจะมาถึงประเทศไทยแล้วก็ยังเป็นสัญญาในการรับขนของทางทะเลปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายและข้อบังคับว่าด้วยการรับขนทางทะเลโดยเฉพาะ การเรียกร้องค่าเสียหายจึงต้องใช้อายุความทั่วไปตามมาตรา 164 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งมีกำหนด 10 ปีคดีนี้นับแต่วันที่โจทก์อาจใช้สิทธิเรียกร้องได้จนถึงวันฟ้องยังไม่เกิน 10 ปีฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ที่จำเลยฎีกาว่าต้องใช้อายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะ 8 เรื่องรับขนมาใช้บังคับนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าบทกฎหมายว่าด้วยอายุความตามมาตรา 164 เป็นบทกฎหมายใกล้เคียงยิ่งกว่าที่บัญญัติไว้ในลักษณะ 8 จะนำเอาบทบัญญัติเรื่องอายุความในลักษณะ 8 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับหาได้ไม่ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าต้องถืออายุความ 1 ปีตามกฎหมายเกี่ยวกับการขนส่งทางทะเลของประเทศอังกฤษซึ่งถือเป็นประเพณีการขนส่งทางทะเลมาใช้บังคับนั้น ไม่ปรากฏว่าเป็นข้อที่จำเลยยกขึ้นอ้างมาในศาลชั้นต้นจำเลยยะยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาหาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ฎีกาแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ฎีการวมเป็นเงิน 3,000 บาท’.