แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามความในบทบัญญัติของมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร(ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 นั้น หาได้ลบล้างองค์ประกอบความผิดที่จะต้องกระทำ “โดยเจตนาจะฉ้อค่าภาษี” ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 นั้น ให้สิ้นไปไม่ เพราะในมาตรา 16 หมายความถึงแต่เพียงมิให้คำนึงถึงเจตนาแห่งการกระทำเท่านั้นส่วนความมุ่งหมายแห่งการกระทำหรือความประสงค์ต่อผลนั้น ยังคงต้องเป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 27 นั้นอยู่
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 13/2503)
จำเลยนำของเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้ตรวจรายละเอียดในแบบพิมพ์เพราะถือว่าเป็นของส่วนตัว แต่ไม่ได้ความว่าจำเลยมีเจตนาจะฉ้อค่าภาษีของรัฐบาล จำเลยยังไม่มีความผิด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยนำสิ่งของเข้ามาในราชอาณาจักรโดยจำเลยเจตนาพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากร ทั้งนี้ โดยจำเลยมีเจตนาจะฉ้อค่าภาษีของรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 มาตรา 16, 17 (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2490 มาตรา 3
จำเลยต่อสู้ว่า ไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่า จำเลยไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีนั้น ฟังไม่ขึ้น เพราะตามพระราชบัญญัติศุลกากร(ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 มาตรา 16 บัญญัติว่า “การกระทำที่บัญญัติไว้ในมาตรา 2 และมาตรา 99 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 นั้น ให้ถือว่าเป็นความผิดโดยมิพักต้องคำนึงว่าผู้กระทำมีเจตนาหรือกระทำโดยประมาทเลินเล่อหรือหาไม่” จึงพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมายที่โจทก์อ้างปรับ 4 เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้วเป็นเงิน 202,833 บาท 32 สตางค์ ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามมาตรา 29, 30 แห่งประมวลกฎหมายอาญา หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขัง 1 ปี 6 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า ที่จำเลยนำทรัพย์สิ่งของตามฟ้องเข้ามา ได้เป็นไปในลักษณะซุกซ่อน ไม่เป็นเหตุที่จะถือเอาเป็นความผิดตามที่โจทก์กล่าวในฟ้องได้ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำของจำเลยยังฟังไม่ได้ว่า การนำสิ่งของตามบัญชีท้ายฟ้องเข้ามาในราชอาณาจักรนั้น จำเลยได้มีกิริยาอาการอย่างใดที่จะถือได้ว่า จำเลยจะฉ้อค่าภาษีของรัฐบาล ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังที่โจทก์ฟ้อง
ปัญหาต่อไปจึงมีว่า แม้โจทก์จะฟ้องดังนั้น และข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ตามโจทก์ฟ้องก็ดี แต่มาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 จะห้ามไม่ให้จำเลยแก้ตัวดังนั้นหรือไม่ ซึ่งเมื่อพิจารณาประกอบกับพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 เฉพาะที่เกี่ยวกับกรณีนี้ ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าคำว่า”โดยเจตนาจะฉ้อค่าภาษีของรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” นั้น จะยังคงเป็นองค์ประกอบความผิดเช่นกรณีนี้อยู่ในขณะนี้หรือไม่
ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเห็นว่า ความในบทบัญญัติของมาตรา 16แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 นั้น หาได้ลบล้างองค์ประกอบความผิดที่ว่าจะต้องกระทำโดยเจตนาจะฉ้อค่าภาษี” ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 นั้นให้สิ้นไปไม่ เพราะในมาตรา 16 หมายความถึงแต่เพียงมิให้คำนึงถึงเจตนาแห่งการกระทำเท่านั้น ส่วนความมุ่งหมายแห่งการกระทำหรือความประสงค์ต่อผลนั้น ยังคงต้องเป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 27 นั้นอยู่ ความประสงค์ต่อผลนี้ในประมวลกฎหมายอาญาจึงได้ใช้คำว่า “เพื่อ” เช่นในมาตรา 270 ที่ว่า “ผู้ใดใช้ฯ เครื่องชั่งฯ ที่ผิดอัตราเพื่อเอาเปรียบในการค้าหรือมีเครื่องเช่นว่านั้นไว้เพื่อขาย” และในมาตรา 59 วรรค 3 ว่า “ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้”
ศาลฎีกาจึงเห็นว่า คดีนี้จำเลยจะมีความผิดก็ต่อเมื่อมีข้อเท็จจริงที่จะฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาจะฉ้อค่าภาษีของรัฐบาลซึ่งตามพฤติการณ์ตามพยานหลักฐานโจทก์จะยังฟังเป็นเช่นนั้นไม่ได้ศาลฎีกาพิพากษายืน