คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9408/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ว่าโจทก์ร่วมกับจำเลยจะมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกันมาก่อนหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อในวันเกิดเหตุจำเลยเข้ามาโอบกอดโจทก์ร่วมถูกหน้าอก ท้อง และแขนของโจทก์ร่วมโดยโจทก์ร่วมมิได้ยินยอมและดิ้นรนขัดขืน ทั้งยังกระทำต่อหน้าบุคคลอื่น ย่อมเป็นความผิดฐานกระทำอนาจารบุคคลอายุกว่าสิบห้าปีโดยใช้กำลังประทุษร้ายต่อหน้าธารกำนัลแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278, 281, 362, 364, 365
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางฉันทิศา ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
โจทก์ร่วมยื่นคำร้องในคดีส่วนแพ่งขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม
จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่ง ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 ลงโทษจำคุก 2 เดือน และปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 กับให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วม 20,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2552 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง และยกคำร้องในคดีส่วนแพ่งของโจทก์ร่วม
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานกระทำอนาจารบุคคลอายุกว่าสิบห้าปีโดยใช้กำลังประทุษร้ายต่อหน้าธารกำนัลตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมมีโจทก์ร่วมเบิกความเป็นพยานว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 5 นาฬิกา ขณะโจทก์ร่วมกับนางลัดดา มารดาโจทก์ร่วมนอนพักอยู่ในบ้านที่เกิดเหตุ มีเสียงผู้ชายร้องเรียกว่า “แม่” อยู่หน้าประตู โจทก์ร่วมเข้าใจว่าคือนายอ๊อดพี่ชายต่างบิดา จึงเดินไปเปิดประตู ขณะจะเดินเข้าห้องนอนหันกลับไปดูเห็นจำเลยมีอาการเมาสุราพูดว่า “พี่คิดถึงจิ๋ม จิ๋มมาเป็นเมียพี่นะ” พร้อมกับดึงมือลักษณะฉุดกระชากแล้วเข้ามาโอบกอดทางด้านหลังถูกแขน หน้าอก และท้อง โจทก์ร่วมแกะมือจำเลยออกแล้ววิ่งเข้าไปนอนในห้องของนางลัดดา จำเลยตามเข้าไปกดทับและกอดโจทก์ร่วม นางลัดดาที่นอนอยู่ข้าง ๆ ร้องบอกจำเลยว่า “อย่าทำ อย่าทำอย่างนี้” พร้อมกับผลักตัวจำเลยออก โจทก์ร่วมวิ่งออกมาที่ระเบียงหน้าบ้าน จำเลยตามออกมาโอบกอดทางด้านหลังอีกโดยตัวจำเลยถูกตัวโจทก์ร่วมที่ส่วนหลัง ช่วงท้อง แขน และหน้าอก โจทก์ร่วมร้องเรียกนางสำรอง ที่มีบ้านอยู่ติดกันให้มาช่วย นางสำรองออกมาดูและร้องห้ามจำเลยว่า “อู๊ดอย่าทำน้อง” นางลัดดาก็ร้องห้ามปราม แต่จำเลยยังกอดและกดโจทก์ร่วมให้นั่งลงตรงบันไดแล้วพูดว่า “จิ๋มยอมพี่เถอะ ถ้ายอมจะยกบ้านที่เกิดเหตุและบ้านแถวโชคชัยให้ด้วย” โจทก์ร่วมบอกว่าไม่ต้องการ โจทก์ร่วมกัดมือข้างขวาของจำเลยอย่างแรงและสะบัดตัววิ่งออกมาได้ เห็นว่า โจทก์ร่วมรู้จักสนิทสนมกับจำเลยเป็นอย่างดี เพราะจำเลยเป็นพี่เขยของตน ก่อนเกิดเหตุก็เคยยืมเงินและไปเที่ยวดื่มเบียร์กับจำเลยตามลำพังสองคน ไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลยให้ต้องรับโทษ ภายหลังเกิดเหตุโจทก์ร่วมก็เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนในวันเดียวกันโดยมีรายละเอียดในสาระสำคัญเป็นอย่างเดียวกันกับที่เบิกความ ทั้งโจทก์และโจทก์ร่วมยังมีนางลัดดามารดาโจทก์ร่วมกับนางสำรองเป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า วันเกิดเหตุเห็นจำเลยโอบกอดโจทก์ร่วมทางด้านหลัง โดยนางสำรองเบิกความว่า ก่อนจะเห็นเหตุการณ์ พยานได้ยินเสียงโจทก์ร่วมร้องเรียกให้ช่วยหลายครั้ง ซึ่งโจทก์ร่วมร้องว่า “ช่วยด้วย ทำไมพี่อู๊ดทำกับจิ๋มอย่างนี้” เมื่อพยานลุกจากห้องนอนมายืนดูที่ข้างบันไดบ้าน จึงเห็นจำเลยกำลังโอบกอดโจทก์ร่วมทางด้านหลังที่ระเบียงบ้านของโจทก์ร่วมสอดคล้องกับคำเบิกความของโจทก์ร่วม ทำให้คำเบิกความของโจทก์ร่วมมีน้ำหนักให้รับฟัง เมื่อนำมารับฟังประกอบกับพฤติกรรมอันไม่สมควรของจำเลยที่กระทำต่อโจทก์ร่วมหลายครั้ง ทั้งพาโจทก์ร่วมเข้าโรงแรม รวมถึงลวนลามโจทก์ร่วมต่อหน้าบิดาและมารดาโจทก์ร่วม จนทำให้ภริยาจำเลยสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยกับโจทก์ร่วมจนถึงขั้นมีปากเสียงลงไม้ลงมือกัน ซึ่งนางเบญจวรรณ ภริยาจำเลยเบิกความรับว่า พยานทราบเรื่องที่จำเลยกับโจทก์ร่วมมีความสัมพันธ์ทางเพศก่อนที่บิดาจะเสียชีวิต เจือสมกับที่จำเลยนำสืบว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยเคยมีความสัมพันธ์ทางเพศกับโจทก์ร่วมมาก่อน เชื่อว่าจำเลยคงอาศัยเหตุที่ตนเคยกระทำในทางไม่สมควรและโจทก์ร่วมไม่เอาเรื่องมาก่อเหตุในคดีนี้ แม้ว่าโจทก์ร่วมกับจำเลยจะมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกันมาก่อนหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อในวันเกิดเหตุจำเลยเข้ามาโอบกอดโจทก์ร่วมถูกหน้าอก ท้อง และแขนของโจทก์ร่วมโดยโจทก์ร่วมมิได้ยินยอมและดิ้นรนขัดขืน ทั้งยังกระทำต่อหน้าบุคคลอื่นเช่นนี้ ย่อมเป็นความผิดฐานกระทำอนาจารบุคคลอายุกว่าสิบห้าปีโดยใช้กำลังประทุษร้ายต่อหน้าธารกำนัลอันเป็นความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว หาใช่กรณีมิได้มีเจตนากระทำอนาจารโจทก์ร่วมดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกคำร้องในคดีส่วนแพ่งของโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมไม่ฎีกาเท่ากับโจทก์ร่วมพอใจในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในคดีส่วนแพ่งแล้ว คดีส่วนแพ่งจึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 จึงไม่อาจกำหนดค่าสินไหมทดแทนในคดีส่วนแพ่งได้
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 ลงโทษจำคุก 2 เดือน และปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share