แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีก่อนให้จำเลยในคดีดังกล่าวดำเนินการยื่นคำขอจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงแก้ไขชื่อจำเลยที่ 3 ออกจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ต่อนายทะเบียนกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ หากจำเลยในคดีดังกล่าวไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ดังนั้น จำเลยที่ 3 จะพ้นจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ได้ต่อเมื่อนายทะเบียนได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงแก้ไขชื่อจำเลยที่ 3 ออกจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการแล้วเพราะการเป็นนิติบุคคลและอำนาจของผู้แทนนิติบุคคล นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจะต้องแต่งย่อรายการซึ่งได้ลงทะเบียนส่งไปลงพิมพ์โฆษณาในราชกิจจานุเบกษาและถือเป็นอันรู้แก่บุคคลทั้งปวงตาม ป.พ.พ. มาตรา 1021 และ 1022 หาใช่จำเลยที่ 3 ออกจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 นับแต่วันที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาไม่ ดังนั้น เมื่อในขณะที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3 เป็นคดีนี้จำเลยที่ 3 ยังเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 อยู่ จำเลยที่ 3 จึงหาหลุดพ้นจากความผิดรับผิดในหนี้ของจำเลยที่ 1 ไม่ แต่ต้องร่วมรับผิดบรรดาหนี้ของจำเลยที่ 1 โดยไม่จำกัดจำนวนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1070 และ 1077 (2)
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 เด็ดขาด และโจทก์ได้มีคำขอท้ายฟ้องให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสามเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ แล้ว ถือได้ว่าโจทก์ได้มีคำขอให้จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยที่ 1 และเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดล้มละลายได้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 89 โดยไม่จำต้องคำนึงว่าจะได้มีการแจ้งการประเมินให้จำเลยที่ 3 ทราบแล้วหรือไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยทั้งสามเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยที่ 1 ไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ไม่ยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 3 ให้การว่า หนี้ภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีการค้าเป็นหนี้ที่ยังไม่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน จำเลยที่ 1 มิได้ปิดสถานที่ประกอบกิจการเนื่องจากโครงการขายบ้านของจำเลยที่ 1 ขายหมดแล้ว และมิได้ดำเนินกิจการใดอีก จำเลยที่ 1 มีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้โจทก์ได้ จำเลยที่ 3 ไม่ได้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ตั้งแต่ปี 2534 จึงไม่ต้องรับผิดในหนี้ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 มิได้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติลัมละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 14
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยที่ 1 ค้างชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีการค้าของปี 2525 ถึง 2527 เป็นเงินทั้งสิ้น 15,200,748 บาท โจทก์แจ้งให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ภาษีอากรดังกล่าวภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับแจ้งการประเมินโดยวิธีปิดหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลแบบแจ้งการประเมินภาษีการค้า ณ สำนักงานของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2529 แต่จำเลยที่ 1 มิได้ชำระหนี้ภายในกำหนด และมิได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านการประเมินต่อคณะกรรมการการพิจารณาอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลาตามกฎหมาย หนี้ภาษีอากรของจำเลยที่ 1 จึงยุติไปตามที่เจ้าพนักงานของโจทก์แจ้งประเมินไว้ โจทก์ได้ยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ได้ 24,675 บาท จำเลยที่ 1 คงค้างชำระภาษีอากรจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 15,176,073 บาท ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้จำเลยที่ 1 ถูกยึดทรัพย์ตามหมายบังคับคดีในหมายเลขแดงที่ 22471/2534 และหมายเลขแดงที่ 13636/2530 ของศาลชั้นต้น สำหรับจำเลยที่ 3 ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2534 ให้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงแก้ไขชื่อของจำเลยที่ 3 ออกจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 โดยศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2534 ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีหมายเลขแดงที่ 152/2534 ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา คดีถึงที่สุดแล้ว คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ประการแรกว่า จำเลยที่ 3 ต้องร่วมรับผิดในหนี้ภาษีอากรดังกล่าวของจำเลยที่ 1 หรือไม่ จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 3 ออกจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ตั้งแต่ปี 2534 แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้ในปี 2538 จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดในหนี้ของจำเลยที่ 1 แล้วเพราะเกิน 2 ปี นับจากวันที่จำเลยที่ 3 ออกจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1068 นั้น เห็นว่า ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยในคดีดังกล่าวดำเนินการยื่นคำขอจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงแก้ไขชื่อจำเลยที่ 3 ออกจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ต่อนายทะเบียน กรมทะเบียนการค้ากระทรวงพาณิชย์ หากจำเลยในคดีดังกล่าวไม่ปฏิบัติ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ดังนั้น จำเลยที่ 3 จะพ้นจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ได้ต่อเมื่อนายทะเบียนได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงแก้ไขชื่อจำเลยที่ 3 ออกจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการแล้ว เพราะการเป็นนิติบุคคลและอำนาจของผู้แทนนิติบุคคล นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจะต้องแต่งย่อรายการซึ่งได้ลงทะเบียนส่งไปลงพิมพ์โฆษณาในราชกิจจานุเบกษาและถือเป็นอันรู้แก่บุคคลทั้งปวงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1021 และ 1022 หาใช่จำเลยที่ 3 ออกจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 นับแต่วันที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาไม่ เมื่อจำเลยที่ 3 นำสืบรับว่าภายหลังโจทก์ฟ้องคดีนี้แล้วจำเลยที่ 3 จึงไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงแก้ไขชื่อจำเลยที่ 3 ออกจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย ล.3 ดังนั้น ในขณะที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3 เป็นคดีนี้ จำเลยที่ 3 ยังเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 อยู่ จำเลยที่ 3 จึงหาหลุดพ้นจากความรับผิดในหนี้ของจำเลยที่ 1 ตามที่อ้างไม่ ฎีกาของจำเลยที่ 3 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังยุติว่าจำเลยที่ 1 ค้างชำระหนี้ภาษีอากรถึงวันฟ้องเป็นเงิน 15,176,073 บาท จำเลยที่ 3 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการซึ่งต้องร่วมรับผิดในบรรดาหนี้ของจำเลยที่ 1 โดยไม่จำกัดจำนวนจึงต้องรับผิดชำระหนี้ดังกล่าวต่อโจทก์ ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาในข้อต่อไปว่า โจทก์ไม่ได้แจ้งการประเมินภาษีอากรให้จำเลยที่ 3 ทราบ จึงถือไม่ได้ว่าหนี้ภาษีอากรที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระเป็นหนี้ที่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 50,000 บาท สำหรับจำเลยที่ 3 นั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 89 บัญญัติว่า “เมื่อศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ห้างหุ้นส่วนสามัญซึ่งได้จดทะเบียนหรือห้างหุ้นส่วนจำกัดแล้ว เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์หรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อาจมีคำขอโดยทำเป็นคำร้องให้บุคคลซึ่งนำสืบได้ว่าเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนนั้นล้มละลายได้โดยไม่ต้องฟ้องเป็นคดีใหม่” คดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 เด็ดขาดแล้วและเมื่อพิจารณาคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 แล้ว ถือได้ว่าโจทก์ได้มีคำขอให้จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยที่ 1 และเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดล้มละลายได้ตามกฎหมายดังกล่าวโดยไม่จำต้องคำนึงว่าจะได้มีการแจ้งการประเมินให้จำเลยที่ 3 ทราบหรือไม่ เพราะจำเลยที่ 3 ต้องร่วมรับผิดในบรรดาหนี้ของจำเลยที่ 1 โดยไม่จำกัดจำนวนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1070 และ 1077 (2) ดังที่วินิจฉัยไว้ข้างต้นแล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษาให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 3 เด็ดขาด ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล และคดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 3 ในข้ออื่นเนื่องจากไม่มีผลให้คดีเปลี่ยนแปลง
อนึ่ง คดีนี้จำเลยที่ 3 ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 3 เด็ดขาด เป็นการฎีกาคำพิพากษาซึ่งพิพากษาตามฟ้องขอให้ล้มละลาย ต้องเสียค่าขึ้นศาลสำหรับคำฟ้องฎีกา 50 บาท ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 179 (1) แต่จำเลยที่ 3 เสียค่าขึ้นศาลฎีกามา 200 บาท จึงเสียเกินมา 150 บาท เห็นสมควรคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินให้แก่จำเลยที่ 3″
พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่เสียเกินมา 150 บาท แก่จำเลยที่ 3