คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 94/2542

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 3 ได้แต่งตั้งทนายความเข้ามาต่อสู้คดีตั้งแต่แรก ในชั้นพิจารณาสืบพยานโจทก์ ทนายความของจำเลยที่ 3 ก็มาศาลโดยสม่ำเสมอโดยมิได้ทอดทิ้งคดี ครั้นถึงวันนัดพิจารณาสืบพยานจำเลย ทนายความของจำเลยที่ 3 ไม่มาศาล แต่ศาลชั้นต้นก็คงให้สืบพยานเฉพาะของจำเลยที่ 1 เท่านั้น แล้วมีคำสั่ง ให้เลื่อนไปนัดสืบพยานจำเลยที่ 3 แต่ทนายความจำเลยที่ 3 ถึงแก่กรรม เสียก่อนถึงวันนัด จำเลยที่ 3 และทนายความของจำเลยที่ 3 ต่างมี ภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานที่แน่นอน ดังนั้น การแจ้งวันนัดพิจารณา สืบพยานจำเลยที่ 3 ให้ฝ่ายจำเลยที่ 3 ทราบ ศาลชั้นต้นชอบที่จะ ส่งหมายนัดไปยังภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานของจำเลยที่ 3 หรือ ของทนายความของจำเลยที่ 3 ซึ่งถือว่าเป็นการส่งโดยวิธีธรรมดาก่อน ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 74 บัญญัติไว้ การที่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ประกาศแจ้งวันนัดพิจารณาสืบพยานจำเลยที่ 3 ไว้ที่ หน้าศาลเพื่อให้จำเลยที่ 3 ทราบแทน จึงเป็นการกระทำที่ผิดขั้นตอน ของกฎหมาย ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 มีผลทำให้กระบวนพิจารณาต่าง ๆ ที่กระทำภายหลังจากนั้นไม่ชอบไปด้วย อีกทั้งกรณีถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ทราบนัดพิจารณาสืบพยานจำเลยที่ 3 แล้ว ประกอบกับเพื่อที่จะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม การที่ศาลอุทธรณ์ พิพากษาให้ยกคำสั่งและคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการ สืบพยานจำเลยที่ 3 แล้วพิพากษาคดีใหม่ต่อไป จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ เห็นสมควรตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 บัญญัติ ให้อำนาจไว้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ชำระเงิน 2,382,338 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2536 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยกฟ้อง

จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องว่า นายประยงค์ ใจเมือง ทนายความจำเลยที่ 3 ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2539 แต่ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2539 ซึ่งเป็นวันนัดสืบพยานจำเลยที่ 1 ทนายความจำเลยที่ 3 ไม่ได้ไปศาลเพราะเป็นวันนัด หลังจากที่ทนายความจำเลยที่ 3 ถึงแก่กรรมแล้ว ศาลจึงมีคำสั่งให้ถือว่าจำเลยที่ 3 ไม่ติดใจสืบพยาน คดีเสร็จการพิจารณาและนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 14 มิถุนายน 2539 ทำให้จำเลยที่ 3 แพ้คดีกระบวนพิจารณาที่ศาลสั่งว่า จำเลยที่ 3 ไม่ติดใจสืบพยาน คำพิพากษาและคำบังคับที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 เป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบและผิดระเบียบ ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าว

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง

จำเลยที่ 3 อุทธรณ์คำสั่ง

ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษาให้ยกคำสั่งและคำพิพากษาของศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานจำเลยที่ 3 ใหม่ แล้ว พิพากษาคดีใหม่ต่อไป

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ วินิจฉัยว่า “จำเลยที่ 3 ได้แต่งตั้งทนายความเข้ามาต่อสู้คดีตั้งแต่แรก และในชั้นพิจารณาสืบพยานโจทก์ ทนายความของจำเลยที่ 3 ก็มาศาลโดยสม่ำเสมอ พฤติการณ์เช่นนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่าฝ่ายจำเลยที่ 3 คงไม่ทอดทิ้งคดีของตน ครั้นถึงวันนัดพิจารณาสืบพยานจำเลยในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2539 ทนายความของจำเลยที่ 3ไม่มาศาล แต่ศาลชั้นต้นก็ให้สืบพยานของจำเลยที่ 1 เท่านั้น แล้วมีคำสั่งให้เลื่อนไปนัดสืบพยานจำเลยที่ 3 ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2539 เวลา 8.30 นาฬิกา แต่ปรากฏว่าทนายความจำเลยที่ 3 ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2539 ด้วยพฤติการณ์แห่งคดีเช่นนี้ ประกอบกับจำเลยที่ 3 และทนายความของจำเลยที่ 3 ต่างมีภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานที่แน่นอน ดังนั้น การแจ้งวันนัดพิจารณาสืบพยานจำเลยที่ 3 ให้ฝ่ายจำเลยที่ 3 ทราบนั้นศาลชั้นต้นชอบที่จะส่งหมายนัดไปยังภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานของจำเลยที่ 3 หรือของทนายความของจำเลยที่ 3 ซึ่งถือว่าเป็นการส่งโดยวิธีธรรมดาก่อน ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 74 บัญญัติไว้ฉะนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ประกาศแจ้งวันนัดพิจารณาสืบพยานจำเลยที่ 3 ไว้ที่หน้าศาลเพื่อให้จำเลยที่ 3 ทราบแทนนั้น จึงเป็นการกระทำที่ผิดขั้นตอนของกฎหมายเพราะจะกระทำเช่นนี้ได้ต่อเมื่อไม่สามารถส่งหมายนัดให้ได้โดยวิธีธรรมดาดังกล่าวก่อน ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 บัญญัติไว้ ทำให้การประกาศแจ้งวันนัดดังกล่าวไม่ชอบ อันมีผลทำให้กระบวนพิจารณาต่าง ๆ ที่กระทำภายหลังจากนั้นไม่ชอบไปด้วย อีกทั้งกรณีถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ทราบนัดพิจารณาสืบพยานจำเลยที่ 3 แล้ว ประกอบกับเพื่อที่จะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำสั่งและคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานจำเลยที่ 3 แล้วพิพากษาคดีใหม่ต่อไป จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์เห็นสมควรตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 บัญญัติให้อำนาจไว้”

พิพากษายืน

Share