แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยเป็นผู้สร้างกันสาดรุกล้ำที่ดินของโจทก์แต่กลับนำสืบว่าว. เป็นผู้สร้างกันสาดนั้นในขณะที่ดินยังเป็นของส. และโจทก์เพิ่งซื้อที่ดินดังกล่าวในภายหลังจึงฟังได้ว่าจำเลยไม่ได้เป็นผู้ก่อสร้างกันสาดรุกล้ำที่ดินของโจทก์ทั้งจำเลยรับโอนอาคารในสภาพที่มีกันสาดรุกล้ำที่ดินอยู่ก่อนแล้วจำเลยจึงมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ แม้ตามคำฟ้องฎีกาจำเลยจะยกเหตุผลกล่าวอ้างว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินของโจทก์โดยการครอบครองที่ดินส่วนที่กันสาดรุกล้ำเป็นเวลากว่าสิบปีแล้วแต่คำขอของจำเลยในคำฟ้องฎีกาไม่ได้ขอให้พิพากษาว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่อาคารรุกล้ำโดยการครอบครองปรปักษ์คงมีคำขอเพียงว่าให้พิพากษายกฟ้องโจทก์เท่านั้นศาลฎีกาจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้อนี้ของจำเลยเพราะหากพิพากษาว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวย่อมจะเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142ประกอบมาตรา246และมาตรา247
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 5410 โดยซื้อมาจากพลโทประสาท จำเลยทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 46093 พร้อมอาคารเลขที่ 913ซึ่งด้านหลังติดกับที่ดินของโจทก์ จำเลยได้ต่อเติมอาคารดังกล่าวทางด้านหลังชิดกับที่ดินของโจทก์ ทำให้กันสาดรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ อันเป็นการรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์ขอบังคับให้จำเลยรื้อกันสาดที่จำเลยต่อเติมรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ออกและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อกันสาดออกไปจากที่ดินของโจทก์เสร็จ
จำเลยทั้งสามให้การในทำนองเดียวกันและจำเลยที่ 1 ฟ้องแย้งว่า จำเลยทั้งสามไม่ได้เป็นผู้ต่อเติมอาคารรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 46093 และโฉนดเลขที่ 5401เป็นกรรมสิทธิ์ของพลโทแสบิดาของพลโทประสาท พลโทแสได้ขออนุญาตปลูกสร้างอาคารบนที่ดินดังกล่าว และเป็นผู้ต่อเติมกันสาดนายวิสุทธิ์ได้ซื้อที่ดินพร้อมอาคารเลขที่ 913 จากพลโทแสต่อมานายวิสุทธิ์ให้จำเลยทั้งสามถือกรรมสิทธิ์ร่วมจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 19 ปี จำเลยทั้งสามย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของโจทก์ ส่วนที่รุกล้ำโดยการครอบครองปรปักษ์ โจทก์เรียกค่าเสียหายเป็นจำนวนสูงเกินกว่าความเป็นจริง ขอให้ยกฟ้องโจทก์และมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่จำเลยที่ 1 ครอบครองปรปักษ์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า นายวิสุทธิ์ซื้อที่ดินพร้อมอาคารพิพาทจากพลโทแสแล้วได้ซื้อที่ดินจากพลโทแสด้านหลังอีก และได้ต่อเติมอาคารรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์อันเป็นการรบกวนสิทธิผู้อื่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1341 มิใช่การครอบครองปรปักษ์ เมื่อนายวิสุทธิ์โอนอาคารให้จำเลยทั้งสาม จำเลยทั้งสามจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์โอนการครอบครองปรปักษ์ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามรื้อกันสาดห้องเลขที่913 ของจำเลยทั้งสามที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินโฉนดเลขที่ 5401ของโจทก์ออกยกฟ้องแย้งจำเลยที่ 1
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาตามที่จำเลยทั้งสามฎีกามีว่าจำเลยเป็นผู้ต่อเติมอาคารรุกล้ำที่ดินของโจทก์หรือไม่ และจำเลยที่ 1 ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนที่อาคารรุกล้ำโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ ปัญหาข้อแรกที่ว่าจำเลยเป็นผู้ต่อเติมอาคารรุกล้ำที่ดินของโจทก์หรือไม่ เห็นว่า ตามฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยเป็นผู้สร้างกันสาดรุกล้ำที่ดินโฉนดเลขที่ 5401 ของโจทก์ แต่กลับนำสืบว่า นายวิสุทธิ์เป็นผู้สร้างกันสาดนั้นในขณะที่ดินโฉนดเลขที่ 5401 ยังเป็นของพลโทแสและโจทก์เพิ่งมาซื้อที่ดินดังกล่าวในภายหลังข้อเท็จจริงจึงฟังได้ชัดแจ้งว่าจำเลยไม่ได้เป็นผู้ก่อสร้างกันสาดรุกล้ำที่ดินของโจทก์ และฟังได้จากการนำสืบของจำเลยโดยไม่มีข้อโต้แย้งในชั้นนี้แล้วว่าจำเลยรับโอนอาคารเลขที่ 913 ในสภาพที่มีกันสาดรุกล้ำที่ดินโฉนดเลขที่ 5401 อยู่ก่อนแล้ว จำเลยจึงมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์โจทก์จึงไม่มีสิทธิให้จำเลยรื้อกันสาดตามที่โจทก์ฟ้อง
ปัญหาสุดท้ายที่ว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนที่อาคารรุกล้ำโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ เห็นว่า แม้ตามคำฟ้องฎีกาจำเลยจะยกเหตุผลกล่าวอ้างว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินของโจทก์โดยการครอบครองที่ดินส่วนที่กันสาดรุกล้ำเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว แต่คำขอของจำเลยในคำฟ้องฎีกาไม่ได้ขอให้ศาลฎีกาพิพากษาว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่อาคารรุกล้ำโดยการครอบครองปรปักษ์ คงมีคำขอเพียงว่าให้ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องโจทก์เท่านั้น ศาลฎีกาจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้อนี้ของจำเลยต่อไป เพราะหากจะพิพากษาว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวก็เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247
พิพากษาแก้ให้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์