แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเก็บปืนที่ตกไว้ เมื่อเจ้าของตามก็รับว่าได้เก็บไว้แล้วเช่นนี้ถ้าไม่มีเจตนาทุจริตในการเอาทรัพย์นั้นไป ก็ยังไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์
เพียงแต่การเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยไม่มีใครอนุญาตนั้นจะถือว่าเป็นการทุจริตยังไม่ได้
ย่อยาว
ได้ความว่า นายแก้วเอาปืนของนายสนิทผู้เสียหายเหน็บเอวไปคุยที่เรือนนายลัง ตอนกลับเหยียบบันไดพลาดตกลงไป ศรีษะกระแทกไม้สลบไป ปืนหลุดตกที่พื้นดิน จำเลยได้เก็บปืนนั้นใส่กระเป๋ากางเกงไว้ เมื่อนายแก้วฟื้นขึ้นถามหาปืนจำเลยก็ตอบว่าเก็บไว้แล้วรุ่งขึ้นนายแก้วไปขอปืนคืนจำเลยกลับว่าไม่เห็นและไม่ได้เก็บไว้โจทก์และนายสนิทจึงฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เห็นต้องกันว่า ข้อเท็จจริงดังปรากฎ จะฟังว่า จำเลยเอาปืนไปโดยเจตนาทุจริต อันจะเป็นผิดฐานลักทรัพย์ยังไม่ได้ การที่จำเลยเกิดทุจริตปฏิเสธภายหลังว่าไม่ได้เอาไป เป็นความผิดฐานอื่น จึงยกฟ้อง
โจทก์ฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า ไม่มีผู้ใดอนุญาตให้จำเลยเก็บปืนเอามาไว้ จำเลยบังอาจเก็บเอง จึงได้ชื่อว่าจำเลยบังอาจเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยเจตนาทุจริต
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อใดเป็นการกระทำทุจริตนั้น กฎหมายลักษณะอาญามาตรา 6(3) ได้บัญญัติไว้ชัดแจ้งแล้ว เพียงแต่การเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยไม่มีใครอนุญาตนั้น จะถือว่าเป็นการทุจริตยังไม่ได้ จึงพิพากษายืน