คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9349/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์บรรยายฟ้องถึงทรัพย์ที่ซื้อขายกันว่าเป็นเสาคอนกรีตอัดแรงพร้อมทั้งระบุราคามาด้วย นับว่าได้แสดงให้เข้าใจถึงสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ได้พอสมควรแล้ว และโจทก์ยังบรรยายถึงรายละเอียดขนาดของเสาคอนกรีตอัดแรงมาในคำฟ้อง รวมทั้งแนบสำเนาใบส่งของชั่วคราว 2 ฉบับ มาเป็นเอกสารท้ายฟ้องแล้วยังระบุวันที่ส่งของกับลายมือชื่อผู้ส่งและผู้รับของ อันทำให้ทราบได้ว่าสินค้าตามที่บรรยายฟ้องคือสินค้าตามเอกสารท้ายฟ้องดังกล่าว ยิ่งทำให้ง่ายต่อการตรวจสอบยิ่งขึ้น ส่วนที่ข้อความเกี่ยวกับขนาดของเสาคอนกรีตอัดแรงในเอกสารท้ายฟ้องดังกล่าวมีตัวอักษรที่ไม่ใช่อักษรภาษาไทยแตกต่างจากคำว่า “ดี” ในส่วนที่บรรยายฟ้องไว้เพียงตัวเดียว ก็น่าจะพอเข้าใจได้ว่าในการบรรยายฟ้องโจทก์ได้พยายามจะแปลความหมายของตัวอักษรที่ไม่ใช่ภาษาไทยดังกล่าวนั่นเอง คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นคำฟ้องที่ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหานั้น ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 172 วรรคสอง แล้ว
แม้คดีนี้มีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาทก็ตาม แต่เมื่อปรากฏว่าผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นได้รับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้ จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ.มาตรา224 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ข้อเท็จจริงของจำเลยดังกล่าวจึงไม่ชอบ และศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยใหม่
จำเลยได้สั่งซื้อเสาคอนกรีตอัดแรงจากโจทก์ หน้าร้านของจำเลยใช้ชื่อว่า ป.ค้าไม้ ในการดำเนินกิจการร้าน ป.ค้าไม้เคยมีการซื้อสินค้าจากโจทก์ตามสำเนาใบส่งของที่ระบุว่าร้าน พ.ก็หมายถึงร้าน ป.ค้าไม้ ส่วนสินค้าตามใบส่งของที่พิพาทกันนั้นมีคนขับรถร้าน ป.ค้าไม้รับไว้ แล้วนำไปส่งให้ลูกค้าของร้านและได้รับชำระราคาจากลูกค้าแล้ว จำเลยได้เปิดบัญชีกระแสรายวันที่ธนาคาร และเคยสั่งจ่ายเช็คธนาคารดังกล่าวประทับตราร้าน ป.ค้าไม้ให้แก่โจทก์ เป็นพฤติการณ์ที่แสดงออกให้เห็นได้ว่า จำเลยเป็นผู้ดำเนินกิจการค้าขายวัสดุก่อสร้างในนามร้าน ป.ค้าไม้ทั้งตามคำขอเปิดบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่ธนาคารก็ปรากฏข้อความระบุว่าจำเลยประกอบธุรกิจจำหน่ายไม้แปรรูปและวัสดุก่อสร้าง สถานที่ประกอบธุรกิจชื่อร้านป.ค้าไม้และตามการ์ดตัวอย่างลายมือชื่อบัญชีกระแสรายวันก็ระบุเงื่อนไขการสั่งจ่ายเช็คว่า เช็คทุกใบที่สั่งจ่ายต้องประทับตราตามตัวอย่างตราประทับร้าน ป.ค้าไม้หากขาดตราประทับให้ติดต่อลูกค้าทันที นอกจากนี้สถานที่ตั้งร้าน ป.ค้าไม้ก็ปรากฏชื่อจำเลยเป็นเจ้าบ้าน จึงล้วนเป็นข้อที่ส่อแสดงให้เห็นได้ว่า จำเลยเป็นผู้ดำเนินกิจการค้าขายวัสดุก่อสร้างในนามของร้าน ป.ค้าไม้
แม้เอกสารใบทะเบียนการค้าและใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มระบุชื่อ ท.เป็นผู้ประกอบการค้าร้าน ป.ค้าไม้ก็ตาม แต่ร้านดังกล่าวก็มิได้มีสภาพเป็นนิติบุคคลซึ่ง ท.จะเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนได้แต่เพียงผู้เดียว อีกทั้งปรากฏว่าท.ก็มีอายุเกือบ 70 ปี และมีบุตรหลายคนรวมทั้งจำเลยที่สามารถทำกิจการได้ไม่แน่ว่าในทางปฏิบัติที่แท้จริงแล้ว ท.จะยังทำหน้าที่เจ้าของร้านอีกต่อไป และหากให้จำเลยดำเนินกิจการของร้านเมื่อจำเลยซื้อสินค้าแม้จะซื้อในนามร้าน ป.ค้าไม้ซึ่งมิใช่นิติบุคคลแล้วก็ถือได้ว่าจำเลยเป็นผู้ซื้อนั่นเอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณกลางเดือนธันวาคม ๒๕๓๒ จำเลยได้ซื้อสินค้าประเภทเสาคอนกรีตอัดแรงขนาด ดี ๓ ๕.๐๐ ม. จากโจทก์ ๒ ครั้งเป็นเงิน ๔๒,๐๐๐ บาท ยังไม่ได้ชำระราคาโจทก์ทวงถามแล้ว แต่จำเลยไม่ชำระขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน ๔๒,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับแต่วันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๓๒ ถึงวันฟ้อง โจทก์ขอคิดเพียง ๒๓ เดือน รวมเป็นเงิน๔๘,๐๓๗.๕๐ บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๔๒,๐๐๐ บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยสั่งซื้อสินค้าประเภทเสาคอนกรีตอัดแรงขนาด ดี ๓ ๕.๐๐ ม. จากโจทก์ จำเลยมีอาชีพรับจ้าง ไม่เคยประกอบกิจการค้าวัสดุก่อสร้างชื่อทางการค้าว่า “ประกายเพชร” มิได้เป็นของจำเลย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๔๒,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๓๒ จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องคิดให้ไม่เกิน ๘,๐๓๗.๕๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยซื้อสินค้าเสาคอนกรีตอัดแรงขนาด ดี ๓ ๕.๐๐ ม. ไปจากโจทก์ แต่ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๓ และ ๔ ระบุรายละเอียดขนาดของสินค้าเสาคอนกรีตอัดแรง เริ่มด้วยตัวอักษรซึ่งอ่านไม่ออกและตามด้วยข้อความ ๓ ๕.๐๐ ม. จึงแตกต่างจากที่บรรยายฟ้องไว้ และมีความหมายได้หลายประการ ทำให้ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเป็นเสาคอนกรีตขนาดอะไร เห็นว่า การที่โจทก์บรรยายฟ้องถึงทรัพย์ที่ซื้อขายกันว่าเป็นเสาคอนกรีตอัดแรง พร้อมทั้งระบุราคามาด้วยก็นับว่าได้แสดงให้เข้าใจถึงสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ได้พอสมควรแล้ว และโจทก์ยังบรรยายถึงรายละเอียดขนาดของเสาคอนกรีตอัดแรงมาในคำฟ้อง รวมทั้งแนบสำเนาใบส่งของชั่วคราว๒ ฉบับ มาเป็นเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๓ และ ๔ ซึ่งนอกจากแสดงรายการสินค้าแล้วยังระบุวันที่ส่งของกับลายมือชื่อผู้ส่งและผู้รับของ อันทำให้ทราบได้ว่าสินค้าตามที่บรรยายฟ้องคือ สินค้าตามเอกสารท้ายฟ้องดังกล่าว ยิ่งทำให้ง่ายต่อการตรวจสอบยิ่งขึ้น ส่วนที่ข้อความเกี่ยวกับขนาดของเสาคอนกรีตอัดแรงในเอกสารท้ายฟ้องดังกล่าว มีตัวอักษรที่ไม่ใช่อักษรภาษาไทยแตกต่างจากคำว่า “ดี” ในส่วนที่บรรยายฟ้องไว้เพียงตัวเดียว ก็น่าจะพอเข้าใจได้ว่าในการบรรยายฟ้องโจทก์ได้พยายามจะแปลความหมายของตัวอักษรที่ไม่ใช่ภาษาไทยดังกล่าวนั่นเอง คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นคำฟ้องที่ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหานั้น ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ วรรคสอง แล้ว
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อไปว่า ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในข้อเท็จจริงว่า จำเลยซื้อสินค้าตามฟ้องจากโจทก์จริงหรือไม่นั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า แม้คดีนี้มีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาทก็ตาม แต่เมื่อปรากฏว่าผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นได้รับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้ จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ตามประมวล-กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ข้อเท็จจริงของจำเลยดังกล่าวจึงไม่ชอบ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยใหม่ ปัญหานี้จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยไม่ได้ประกอบการค้าวัสดุก่อสร้างโดยใช้ชื่อทางการค้าว่าประกายเพชรและจำเลยไม่ได้ซื้อสินค้าเสาคอนกรีตอัดแรงจากโจทก์ ฝ่ายโจทก์มีนางจำเนียร บำเพิงรัตน์ ซึ่งเป็นเสมียนและผู้มีหน้าที่ทำบัญชีของโจทก์เบิกความว่า จำเลยได้สั่งซื้อเสาคอนกรีตอัดแรงขนาดยาว ๕ เมตร จำนวน ๓๐๐ ต้น ราคา ๔๒,๐๐๐ บาท ตามใบส่งของชั่วคราวเอกสารหมาย จ.๓ และ จ.๔ จากโจทก์ พยานเป็นผู้ไปส่งของตามใบส่งของชั่วคราวดังกล่าวที่ร้านประกายเพชรซึ่งอยู่ที่ถนนพุทธมณฑล สาย ๒ หน้าร้านของจำเลยใช้ชื่อว่าประกายเพชรค้าไม้ และได้ความจากคำเบิกความของจำเลยและนางทองดี ตรีเสถียรกิจ มารดาจำเลยซึ่งโจทก์และจำเลยอ้างเป็นพยานร่วมกันว่าในการดำเนินกิจการร้านประการเพชรค้าไม้เคยมีการซื้อสินค้าจากโจทก์ตามสำเนาใบส่งของ ๘ ฉบับ เอกสารหมาย จ.๖ ใบส่งของดังกล่าวบางฉบับที่ระบุว่าร้านประกายเพชรก็หมายถึงร้านประกายเพชรค้าไม้ ส่วนสินค้าตามใบส่งของเอกสารหมาย จ.๓ และ จ.๔ ที่พิพาทกันนั้นมีนายสมศรีคนขับรถร้านประกายเพชรค้าไม้รับไว้แล้วนำไปส่งให้ลูกค้าของร้านและได้รับชำระราคาจากลูกค้าแล้ว และยังได้ความตามคำเบิกความของจำเลยและนางทองดีต่อไปอีกว่า จำเลยได้เปิดบัญชีกระแสรายวันที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาบางแค และธนาคารกสิกรไทยจำกัด สาขาบางแค จำเลยได้เคยสั่งจ่ายเช็คธนาคารดังกล่าวประทับตราร้านประกายเพชรค้าไม้ให้แก่โจทก์ดังปรากฏตามเช็ค ๕ ฉบับ เอกสารหมาย จ.๑๑อันเป็นพฤติการณ์ที่แสดงออกให้เห็นได้ว่า จำเลยเป็นผู้ดำเนินกิจการค้าขายวัสดุก่อสร้างในนามร้านประกายเพชรค้าไม้ ทั้งตามคำขอเปิดบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่ธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาบางแค เอกสารหมาย จ.๑๙ ก็ปรากฏข้อความระบุว่า จำเลยประกอบธุรกิจจำหน่ายไม้แปรรูป และวัสดุก่อสร้าง สถานที่ประกอบธุรกิจชื่อร้านประกายเพชรค้าไม้ อยู่บ้านเลขที่ ๕ หมู่ที่ ๑ ถนนพุทธมณฑลสาย ๒ และตามการ์ดตัวอย่างลายมือชื่อบัญชีกระแสรายวันเอกสารหมาย จ.๒๐ก็ระบุเงื่อนไขการสั่งจ่ายเช็คว่า เช็คทุกใบที่สั่งจ่ายต้องประทับตราตามตัวอย่างตราประทับร้านประกายเพชรค้าไม้ หากขาดตราประทับให้ติดต่อลูกค้าทันทีนอกจากนี้ตามสำเนาทะเบียนบ้านเลขที่ ๕ หมู่ที่ ๑ แขวงบางเชือกหนัง เขตตลิ่งชันกรุงเทพมหานคร เอกสารหมาย จ.๑๖ ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งร้านประกายเพชรค้าไม้ก็ปรากฏชื่อจำเลยเป็นเจ้าบ้าน พยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวมาล้วนเป็นข้อที่ส่อแสดงให้เห็นได้อย่างสอดคล้องต้องกันว่า จำเลยเป็นผู้ดำเนินกิจการค้าขายวัสดุก่อสร้างในนามของร้านประกายเพชรค้าไม้ จำเลยจึงน่าจะเป็นผู้มีอำนาจสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ ส่วนที่จำเลย นางทองดี และนายพยงค์ ตรีเสถียรกิจ พยานจำเลยเบิกความเป็นทำนองเดียวกันว่า นางทองดีเป็นเจ้าของร้านประกายเพชรค้าไม้ตามใบทะเบียนการค้าและใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เอกสารหมาย ล.๑ และล.๒ นางทองดีผู้เดียวที่มีอำนาจสั่งซื้อสินค้า ส่วนจำเลยเป็นเพียงลูกจ้างไม่มีส่วนเป็นเจ้าของร้านไม่มีอำนาจสั่งซื้อสินค้าในนามของร้านแต่อย่างใดนั้น เห็นว่า แม้เอกสาร ๒ ฉบับ ดังกล่าว จะระบุชื่อนางทองดีเป็นผู้ประกอบการค้าร้านประกายเพชรค้าไม้ก็ตาม แต่ร้านดังกล่าวก็มิได้มีสภาพเป็นนิติบุคคลซึ่งนางทองดีจะเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนได้แต่เพียงผู้เดียว อีกทั้งปรากฏว่านางทองดีก็มีอายุเกือบ ๗๐ ปีและมีบุตรหลายคนรวมทั้งจำเลยที่สามารถทำกิจการได้จึงไม่แน่ว่าในทางปฏิบัติที่แท้จริงแล้วนางทองดีจะยังทำหน้าที่เจ้าของร้านอีกต่อไป และหากให้จำเลยดำเนินกิจการของร้านเมื่อจำเลยซื้อสินค้าแม้จะซื้อในนามร้านประกายเพชรค้าไม้ซึ่งมิใช่นิติบุคคลแล้วก็ถือได้ว่าจำเลยเป็นผู้ซื้อนั่นเอง สำหรับที่จำเลยอ้างว่าเป็นเพียงลูกจ้างของนางทองดีนั้นก็ขัดกับที่จำเลยขอเปิดบัญชีกระแสรายวันตามเอกสารหมาย จ.๑๙ ซึ่งระบุประเภทธุรกิจของจำเลยว่าจำหน่ายไม้แปรรูปและวัสดุก่อสร้างนอกจากนี้ ที่นางทองดีเบิกความรับว่าได้รับสินค้าพิพาทจากโจทก์และได้นำไปขายให้ลูกค้าจนได้รับชำระราคาจากลูกค้าแล้ว แต่ก็ไม่ชำระราคาสินค้าแก่โจทก์ แสดงให้เห็นว่ามีเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงการชำระหนี้รายนี้ เช่นนี้คำเบิกความของนางทองดีกับจำเลยและนายพยงค์ซึ่งต่างก็เป็นบุตรนางทองดีและทำงานที่ร้านประกายเพชรค้าไม้ ที่อ้างว่านางทองดีเป็นเจ้าของร้านดังกล่าวเป็นผู้ซื้อสินค้าของโจทก์ จำเลยไม่ใช่ผู้ซื้อนั้น ย่อมมีเหตุอันเป็นพิรุธอยู่ในตัว ไม่มีน้ำหนักควรแก่การรับฟังแต่อย่างใดพยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวมาข้างต้นจึงมีน้ำหนักรับฟังได้ดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลยฟังได้ว่าจำเลยได้ซื้อสินค้าเสาคอนกรีตอัดแรงจากโจทก์จริง
พิพากษายืน.

Share