คำวินิจฉัยที่ 92/2557

แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ

ย่อสั้น

คดีที่ลูกจ้างยื่นฟ้องสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)นายจ้างว่า ได้ออกประกาศกำหนดโครงสร้างองค์กรใหม่จัดแบ่งส่วนงานมีผลให้ยุบเลิกตำแหน่งและมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีออกจากงานโดยไม่ได้รับเงินค่าชดเชย ขอให้เพิกถอนคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีออกจากงานหรือขอให้รับกลับเข้าทำงานโดยได้รับสิทธิประโยชน์ไม่ต่ำกว่าเดิมและขอให้จ่ายค่าชดเชยกับค่าเสียหายอื่น ๆ ผู้ถูกฟ้องให้การว่า การปรับโครงสร้างองค์กรเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี ในขณะนั้นผู้ถูกฟ้องคดียังไม่ได้ออกระเบียบ เกี่ยวกับการจ่ายค่าชดเชยหรือเงินอันเป็นประโยชน์ตอบแทนสำหรับการเลิกจ้าง จึงไม่สามารถจ่ายค่าชดเชยแก่ผู้ฟ้องคดีได้ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓๘ บัญญัติไม่ให้นำกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน กฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ กฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม และกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทนมาใช้บังคับนั้น มิใช่เป็นกรณีที่กฎหมายกำหนดว่าสัญญาตามพระราชบัญญัตินี้ไม่ใช่สัญญาจ้างแรงงาน หรือเป็นสัญญาประเภทอื่น เพียงแต่กำหนดว่าไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับแรงงานโดยทั่วไป มิได้มีผลทำให้นิติสัมพันธ์ที่มีผู้ตกลงทำงานให้และมีผู้ตกลงจ่ายค่าจ้างไม่เป็นการจ้างแรงงานไม่ การที่จะวินิจฉัยว่าสัญญาใดเป็นสัญญาจ้างแรงงานหรือไม่ต้องพิจารณาเนื้อหาของนิติสัมพันธ์ตามกฎหมายเอกชนเป็นสำคัญ เมื่อข้อสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยมีลักษณะของข้อสัญญาที่บัญญัติเป็นการทั่วไปในสัญญาจ้างแรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ นิติสัมพันธ์ระหว่างผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องคดีจึงมีลักษณะเป็นการจ้างแรงงานไม่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ วรรคหนึ่ง (๑) อันอยู่ในอำนาจศาลแรงงานซึ่งเป็นศาลยุติธรรม จึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคสอง (๓)

ย่อยาว

(สำเนา)

คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๙๒/๒๕๕๗

วันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๗

เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ วรรคหนึ่ง (๑)

ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลแรงงานกลาง

การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดีและศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น

ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๕ นางสาวพรรษมนตร์ คูภูมิใจสกุล ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ที่ ๑ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ ที่ ๒ คณะกรรมการบริหารสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ ที่ ๓ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๕๙๗/๒๕๕๕ ความว่า เดิมผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ตำแหน่งนักบริหารงานทั่วไปและได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการและตำแหน่งอื่นๆ อีกหลายตำแหน่ง ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้มีคำสั่งสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ที่ ๘/๒๕๕๕ ให้ผู้ฟ้องคดีออกจากงาน โดยอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ มีมติให้ออกประกาศกำหนดโครงสร้างองค์กรและจัดแบ่งส่วนงานของสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ใหม่ มีผลให้ยุบเลิกตำแหน่งและส่วนงานบางส่วนตามโครงสร้างองค์กรเดิม จึงไม่สามารถกำหนดให้ผู้ฟ้องคดีปฏิบัติงานในส่วนอื่นได้ และแจ้งว่าผู้ฟ้องคดีมีสิทธิได้รับเงินชดเชยตามอายุงาน ๘ เดือน และเงินชดเชยกรณีให้ออกจากงานโดยมิได้บอกกล่าวล่วงหน้า ๒ เดือน แต่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามไม่ดำเนินการเกี่ยวกับการจ่ายเงินค่าชดเชยดังกล่าว ซึ่งได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ว่าสำนักงาน ก.พ.ร. แจ้งความเห็นต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ตามที่ได้หารือว่า องค์การมหาชนเป็นองค์กรที่มิได้แสวงหากำไรไม่อยู่ภายใต้บทบัญญัติที่บังคับแก่นายจ้างให้จ่ายค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๘ ถึงมาตรา ๑๒๒ แต่คณะกรรมการองค์การมหาชนสามารถกำหนดให้จ่ายค่าชดเชยกรณีเลิกจ้างเจ้าหน้าที่หรือลูกจ้าง หรือจ่ายค่าชดเชยกรณีเลิกจ้างเจ้าหน้าที่หรือลูกจ้าง หรือจ่ายค่าชดเชยการออกจากงานกรณีเกษียณอายุของเจ้าหน้าที่หรือลูกจ้างได้ โดยจะต้องกำหนดไว้เป็นข้อบังคับหรือระเบียบ หรือระบุในสัญญาจ้าง ตามนัยมาตรา ๒๔ (๓) (ก) (ค) (จ) แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามยังมิได้ดำเนินการแต่อย่างใด ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามดำเนินการตามอำนาจหน้าที่เพื่อให้มีการจ่ายค่าชดเชยตามอายุงาน ค่าชดเชยเป็นพิเศษกรณีสั่งให้ออกจากงานโดยทันที พร้อมดอกเบี้ยให้แก่ผู้ฟ้องคดี
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามให้การว่า การปรับโครงสร้างองค์กรและการแบ่งส่วนงานใหม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบตามสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินมีข้อสังเกตเป็นเหตุให้เลิกจ้างผู้ฟ้องคดี เพราะไม่สามารถกำหนดให้ผู้ฟ้องคดีไปปฏิบัติงานในส่วนอื่นได้ แต่ในขณะนั้นผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามยังไม่ได้ออกระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ เกี่ยวกับการจ่ายค่าชดเชยหรือเงินอันเป็นประโยชน์ตอบแทนสำหรับการเลิกจ้าง และยังไม่มีการกำหนดงบประมาณเพื่อจ่ายค่าชดเชย จึงไม่สามารถจ่ายค่าชดเชยแก่ผู้ฟ้องคดีได้ ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เห็นชอบแนวทางการจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้อำนวยการ เจ้าหน้าที่ และลูกจ้างขององค์การมหาชน ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามได้ออกระเบียบว่าด้วยเงินตอบแทนแก่ผู้ถูกเลิกจ้างใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๕ ทั้งผู้ฟ้องคดีมิได้ดำเนินการเรื่องสิทธิประโยชน์ของผู้ต้องออกจากงานตามข้อบังคับสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ว่าด้วยการบริหารงานบุคคล พ.ศ. ๒๕๔๙ ข้อ ๔๒, ข้อ ๔๕ และข้อ ๔๖ แต่อย่างใด ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามมิได้จงใจละเลยหรือปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายล่าช้าเกินสมควรแต่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอน ระเบียบและตามมติคณะรัฐมนตรี จึงไม่ต้องจ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้ฟ้องคดี
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า ข้อพิพาทในคดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นองค์การมหาชนเป็นหน่วยงานอื่นของรัฐ มีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง สำหรับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ และที่ ๓ มีหน้าที่บริหารกิจการของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ปฏิบัติงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองที่มีวัตถุประสงค์ในการสนับสนุนอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ของประเทศ โดยที่ผู้ฟ้องคดีไม่มีอำนาจเจรจาต่อรองเกี่ยวกับสภาพการจ้าง การระงับข้อพิพาทแรงงาน การนัดหยุดงาน การปิดงาน การงดจ้างและการจัดตั้งสหภาพแรงงาน เมื่อมีข้อพิพาทไม่จำต้องระงับข้อพิพาทโดยองค์คณะที่ประกอบด้วยผู้พิพากษา ผู้พิพากษาสมทบฝ่ายนายจ้าง และฝ่ายลูกจ้างดังเช่นในคดีแรงงาน ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ กับผู้ฟ้องคดี จึงเป็นความสัมพันธ์ที่มีขึ้นเพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าดำเนินงานหรือเข้าร่วมดำเนินงานบริการสาธารณะกับหน่วยงานทางปกครอง ข้อตกลงระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงเป็นสัญญาจ้างแรงงานที่มีคู่สัญญาฝ่ายผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครองและมีวัตถุประสงค์ให้ผู้ฟ้องคดีเข้าร่วมในการจัดทำบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงเป็นสัญญาทางปกครอง ส่วนการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ทำสัญญาจ้างบุคคลผ่านกระบวนการสรรหาและคัดเลือกเข้าเป็นพนักงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ก็เป็นเพียงวิธีการในการบรรจุแต่งตั้งพนักงานอันเป็นกลไกหรือเครื่องมือในการบริหารงานบุคคลตามที่คณะกรรมการของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ กำหนดไว้ในระเบียบข้อบังคับ เพื่อให้การดำเนินการบริหารงานบุคคลเป็นไปด้วยความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพ หาใช่เป็นกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ สละอำนาจพิเศษหรือเอกสิทธิ์ของฝ่ายปกครองหรือยอมลดฐานะของตนลงในการเข้าทำสัญญาจ้างพนักงานหรือลูกจ้างให้มีฐานะเท่าเทียมกันกับพนักงานหรือลูกจ้างอันมีผลทำให้สัญญาดังกล่าวไม่เป็นสัญญาทางปกครองแต่อย่างใด เมื่อผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีออกจากงานโดยอ้างว่ามีการยุบงานบางส่วนตามโครงสร้างองค์กรเดิม ไม่สามารถกำหนดให้ผู้ฟ้องคดีปฏิบัติงานในส่วนอื่นได้ ซึ่งผู้ฟ้องคดีเห็นว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงนำคดีมาฟ้องขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามจ่ายค่าชดเชยและค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย จึงเป็นคำขอที่เกี่ยวข้องกับสิทธิตามสัญญาทางปกครองระหว่างผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ กับผู้ฟ้องคดี กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ประกอบกับมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า การที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีต้องออกจากงานก่อนครบกำหนดเกษียณอายุ เนื่องจากมีการยุบเลิกตำแหน่งเจ้าหน้าที่และส่วนงานบางส่วนอันเกิดจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร จึงขอให้บังคับผู้ถูกฟ้องหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ วรรคหนึ่ง (๑) แม้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จัดตั้งขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟแวร์แห่งแห่งชาติ (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๖ โดยอาศัยอำนาจตามนัยมาตรา ๒๒๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓๘ บัญญัติว่า “กิจการขององค์การมหาชนไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน กฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ กฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม และกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน..” ก็ตาม บทบัญญัติดังกล่าวเพียงกำหนดไม่ให้นำกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน กฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ กฎหมายว่าด้วยการประกันสังคมและกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทนมาใช้บังคับเท่านั้น แต่การที่ผู้ฟ้องคดีตกลงทำงานให้และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ตกลงจ่ายค่าจ้าง ต่อมาผู้ฟ้องคดีได้รับคำสั่งให้ออกจากงานก่อนครบกำหนดเกษียณอายุ จึงฟ้องขอให้บังคับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามจ่ายค่าชดเชย และค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย ลักษณะของนิติสัมพันธ์ระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามจึงมีลักษณะเป็นการจ้างแรงงาน ดังนั้นคดีนี้จึงเป็นกรณีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามมาตรา ๘ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒

คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานทางปกครอง ความว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีออกจากงาน โดยอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ มีมติให้ออกประกาศกำหนดโครงสร้างองค์กรและจัดแบ่งส่วนงานของสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ใหม่ มีผลให้ยุบเลิกตำแหน่งและส่วนงานบางส่วนตามโครงสร้างองค์กรเดิม และแจ้งว่าผู้ฟ้องคดีมีสิทธิได้รับเงินชดเชย และเงินชดเชยกรณีให้ออกจากงานโดยมิได้บอกกล่าวล่วงหน้า แต่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามไม่ดำเนินการเนื่องจากยังมิได้กำหนดไว้เป็นข้อบังคับหรือระเบียบ หรือระบุในสัญญาจ้าง ขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามดำเนินการจ่ายค่าชดเชยและค่าชดเชยเป็นพิเศษกรณีสั่งให้ออกจากงานโดยทันที พร้อมดอกเบี้ย ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามให้การว่า การปรับโครงสร้างองค์กรและการแบ่งส่วนงานใหม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี แต่ในขณะนั้นผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามยังไม่ได้ออกระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ เกี่ยวกับการจ่ายค่าชดเชยหรือเงินอันเป็นประโยชน์ตอบแทนสำหรับการเลิกจ้าง และยังไม่มีการกำหนดงบประมาณเพื่อจ่ายค่าชดเชย จึงไม่สามารถจ่ายค่าชดเชยแก่ผู้ฟ้องคดีได้ และมิได้จงใจละเลยหรือปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายล่าช้าเกินสมควรแต่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอน ระเบียบและตามมติคณะรัฐมนตรี ทั้งผู้ฟ้องคดีมิได้ดำเนินการเรื่องสิทธิประโยชน์ของผู้ต้องออกจากงานตามข้อบังคับว่าด้วยการบริหารงานบุคคล พ.ศ. ๒๕๔๙ ข้อ ๔๒, ข้อ ๔๕ และข้อ ๔๖ เป็นเหตุให้ไม่สามารถจ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้ฟ้องคดีได้ เห็นว่า พระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓๘ บัญญัติว่า กิจการขององค์การมหาชนไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน กฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ กฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม และกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน ก็ตาม บทบัญญัติดังกล่าวเพียงกำหนดไม่ให้นำกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน กฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ กฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม และกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทนมาใช้บังคับนั้น มิใช่เป็นกรณีที่กฎหมายกำหนดว่าสัญญาตามพระราชบัญญัตินี้ไม่ใช่สัญญาจ้างแรงงาน หรือเป็นสัญญาประเภทอื่น เพียงแต่กำหนดว่าไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับแรงงานโดยทั่วไป มิได้มีผลทำให้นิติสัมพันธ์ที่มีผู้ตกลงทำงานให้และมีผู้ตกลงจ่ายค่าจ้างไม่เป็นการจ้างแรงงานไม่ การที่จะวินิจฉัยว่าสัญญาใดเป็นสัญญาจ้างแรงงานหรือไม่ต้องพิจารณาเนื้อหาของนิติสัมพันธ์ตามกฎหมายเอกชนเป็นสำคัญ เมื่อข้อสัญญาระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีมีลักษณะของข้อสัญญาที่บัญญัติเป็นการทั่วไปในสัญญาจ้างแรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ นิติสัมพันธ์ระหว่างผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องคดีจึงมีลักษณะเป็นการจ้างแรงงานไม่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ วรรคหนึ่ง (๑) อันอยู่ในอำนาจศาลแรงงานซึ่งเป็นศาลยุติธรรม และไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคสอง (๓)
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นางสาวพรรษมนตร์ คูภูมิใจสกุล ผู้ฟ้องคดี สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ที่ ๑ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ ที่ ๒ คณะกรรมการบริหารสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ ที่ ๓ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) ดิเรก อิงคนินันท์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายดิเรก อิงคนินันท์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง

(ลงชื่อ) พลเรือโท กฤษฎา เจริญพานิช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(กฤษฎา เจริญพานิช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร

(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

Share