คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9347/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน 6ฉ-6649 กรุงเทพมหานคร ไว้จากห้างหุ้นส่วนจำกัดส.พ. ขับรถยนต์คันดังกล่าวโดยได้รับความยินยอมจากห้างหุ้นส่วนจำกัดส. ไปตามถนนในช่องเดินรถช่องขวาสุดจากจังหวัดกาญจนบุรี มุ่งหน้าไปกรุงเทพมหานคร เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุบริเวณหน้าโรงงานน้ำตาล จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียนน-8185 กาญจนบุรี แล่นออกจากโรงงานน้ำตาลด้วยความประมาทเลินเล่อโดยจะต้องหยุดรถให้รถยนต์ของ พ.แล่นผ่านไปก่อน แต่จำเลยที่ 1 หาได้ปฏิบัติไม่ จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์เข้าสู่ถนนโดยกะทันหันตัดหน้ารถยนต์ที่ พ. ขับ เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกันจึงได้รับความเสียหาย โจทก์ผู้รับประกันภัยได้ชำระค่าเสียหายแล้วจึงสวมสิทธิที่จะเรียกร้องเอาแก่จำเลยได้ เช่นนี้ คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายเพียงพอที่จะทำให้จำเลยที่ 1 เข้าใจได้ดีแล้ว เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องไว้แล้วว่า พ. ขับรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยโดยได้รับความยินยอมของห้างหุ้นส่วนจำกัดส.ผู้เอาประกันภัยแล้ว โจทก์ก็หาจำต้องบรรยายฟ้องว่าพ.มีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับห้างหุ้นส่วนจำกัดส.ผู้เอาประกันภัยไม่ เพราะไม่ว่า พ. จะมีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับผู้เอาประกันภัยหรือไม่ ก็มิใช่ข้อที่จำเลยที่ 1จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ได้ ทั้งโจทก์ได้กล่าวในฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ขับรถออกจากโรงงานโดยไม่ระมัดระวังไม่หยุดรถก่อนจะออกสู่ถนนและตัดหน้ารถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัย เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกันเช่นนี้ โจทก์จึงหาจำต้องบรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถด้วยความเร็วเท่าใดไม่ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน 6ฉ-6649 กรุงเทพมหานคร ไว้จากห้างหุ้นส่วนจำกัดสุคิม จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองรถยนต์หมายเลขทะเบียน น-8185 กาญจนบุรี เมื่อวันที่13 กรกฎาคม 2533 เวลา 14.30 นาฬิกา นายพิชัย วิไลวรรณาภรณ์ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 6ฉ-6649 กรุงเทพมหานครโดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัย ไปตามถนนแสงชูโตในช่องเดินรถช่องขวาสุดจากจังหวัดกาญจนบุรีมุ่งหน้าไปกรุงเทพมหานคร เมื่อไปถึงบริเวณหน้าโรงงานน้ำตาลมิตรพลจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน น-8185 กาญจนบุรีแล่นออกจากโรงงานน้ำตาลมิตรผลด้วยความประมาทเลินเล่อปราศจากความระมัดระวังไม่หยุดรถก่อนจะออกสู่ถนนและตัดหน้ารถยนต์หมายเลขทะเบียน 6ฉ-6649 กรุงเทพมหานครเป็นเหตุให้รถยนต์เฉี่ยวชนกันได้รับความเสียหาย โจทก์นำรถยนต์หมายเลขทะเบียน 6ฉ-6649 กรุงเทพมหานครไปซ่อมตามสัญญาประกันภัย ค่าอะไหล่เป็นเงิน 50,467 บาทค่าแรงเป็นเงิน 13,000 บาท รวมเป็นเงิน 63,467 บาทจำเลยที่ 2 ในฐานะนายจ้างจึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1ชดใช้ค่าเสียหายขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน63,467 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่โจทก์สวมสิทธิ (วันที่ 18 กันยายน 2533) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องให้ชัดเจนว่านายพิชัย วิไลวรรณาภรณ์ มีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับห้างหุ้นส่วนจำกัดสุคิมผู้เอาประกันภัย เพียงแต่บรรยายฟ้องว่านายพิชัย โดยความยินยอมของผู้เอาประกันภัยได้ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 6ฉ-6649 กรุงเทพมหานครเท่านั้น และไม่บรรยายฟ้องให้ชัดเจนว่า จำเลยที่ 1 มีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับจำเลยที่ 2 อันเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2ต้องร่วมรับผิดตามฟ้อง นายพิชัยและจำเลยที่ 1 ขับรถด้วยความเร็วในอัตราเท่าใด ใช้ความระมัดระวังหรือประมาทเลินเล่ออย่างไร จำเลยที่ 1 เป็นพี่น้องกับจำเลยที่ 2จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน-8185 กาญจนบุรีจำเลยที่ 2 ไม่ใช่นายจ้างและไม่มีกิจการใดเกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ยืมรถยนต์ของจำเลยที่ 2ไปทำธุรกิจส่วนตัว จำเลยที่ 1 มิได้ขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อ กล่าวคือ จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ออกจากโรงงานน้ำตาลมิตรผลด้วยความระมัดระวังใช้ความเร็วต่ำออกสู่ถนนใหญ่แล้วเลี้ยวขวาเข้าช่องเดินรถด้านขวาเพื่อจะไปอำเภอบ้านโป่งรถยนต์แล่นไปได้ประมาณ 8 เมตร นายพิชัยขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อด้วยความเร็วสูงพุ่งเข้าชนท้ายรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับจำเลยที่ 1 บังคับรถยนต์หักหลบไปช่องเดินรถด้านซ้าย รถยนต์นายพิชัยจึงชนท้ายด้านซ้ายรถยนต์ที่จำเลยที่ 1ขับ ทำให้รถยนต์ได้รับความเสียหาย ความเสียหายจึงเกิดจากความประมาทเลินเล่อของนายพิชัยฝ่ายเดียวจำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิด การที่โจทก์จ่ายค่าเสียหายไปจึงเป็นความผิดของโจทก์ โจทก์เรียกค่าเสียหายไม่ตรงต่อความเป็นจริง ฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้ว รถยนต์ของจำเลยที่ 2 ได้รับความเสียหาย โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนจึงมีหน้าที่ชดใช้ค่าเสียหายตามสัญญาประกันภัยอันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของนายพิชัย ขอให้ยกฟ้องโจทก์ และบังคับให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน26,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.4 ต่อปีนับถัดแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่จำเลยทั้งสอง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า เหตุที่รถยนต์เฉี่ยวชนกันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1กระทำการไปในกิจการเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 2 ในฐานะตัวการตัวแทนหรือลูกจ้างขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน63,467 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่โจทก์เข้ารับช่วงสิทธิ (วันที่ 18 กันยายน 2533) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2และยกฟ้องแย้ง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์สำหรับฟ้องแย้งให้จำเลยทั้งสอง
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ในปัญหาข้อกฎหมายเพียงประเด็นเดียวว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน6ฉ-6649 กรุงเทพมหานคร ไว้จากห้างหุ้นส่วนจำกัดสุคิมนายพิชัยขับรถยนต์คันดังกล่าวโดยได้รับความยินยอมจากห้างหุ้นส่วนจำกัดสุคิม ไปตามถนนแสงชูโต ในช่องเดินรถช่องขวาสุดจากจังหวัดกาญจนบุรีมุ่งหน้าไปกรุงเทพมหานครเมื่อไปถึงที่เกิดเหตุบริเวณหน้าโรงงานน้ำตาลมิตรผลจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน น-8185 กาญจนบุรีแล่นออกจากโรงงานน้ำตาลมิตรผลด้วยความประมาทเลินเล่อโดยจะต้องหยุดรถให้รถยนต์นายพิชัยแล่นผ่านไปก่อนแต่จำเลยที่ 1 หาได้ปฏิบัติไม่ จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์เข้าสู่ถนนโดยกะทันหันตัดหน้ารถยนต์ที่นายพิชัยขับเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกันจึงได้รับความเสียหาย โจทก์ผู้รับประกันภัยได้ชำระค่าเสียหายแล้วจึงสวมสิทธิที่จะเรียกร้องเอาแก่จำเลยได้เช่นนี้ คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายเพียงพอที่จะทำให้จำเลยที่ 1 เข้าใจได้ดีแล้วที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องให้ชัดเจนว่านายพิชัยมีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับห้างหุ้นส่วนจำกัดสุคิม นั้นเห็นว่า เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องไว้แล้วว่านายพิชัยขับรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัย โดย ได้รับความยินยอมของห้างหุ้นส่วนจำกัดสุคิม ผู้เอาประกันภัยแล้ว โจทก์ก็หาจำต้องบรรยายฟ้องว่านายพิชัยมีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับห้างหุ้นส่วนจำกัดสุคิม ผู้เอาประกันภัยไม่ เพราะไม่ว่านายพิชัยจะมีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับผู้เอาประกันภัยหรือไม่ ก็มิใช่ข้อที่จำเลยที่ 1จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ได้ ส่วนที่ฎีกาว่าโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถด้วยความเร็วเท่าใดนั้น เมื่อโจทก์กล่าวในฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถออกจากโรงงานโดยไม่ระมัดระวัง ไม่หยุดรถก่อนจะออกสู่ถนนและตัดหน้ารถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัย เป็นเหตุให้เกิดเฉี่ยวชนกันเช่นนี้โจทก์จึงหาจำต้องบรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถด้วยความเร็วเท่าใดไม่ ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุมที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share