คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9346/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ตามสัญญาซื้อขายระบุว่า จำเลยทำสัญญากับเจ้าพนักงานบังคับคดี แต่เมื่อการขายทอดตลาดครั้งแรกจำเลยเป็นผู้สู้ราคาสูงสุด แล้วละเลยไม่ใช้ราคา ผู้ทอดตลาดเอาทรัพย์สินนั้นออกขายอีกซ้ำหนึ่ง ถ้าและได้เงินเป็นจำนวนสุทธิไม่คุ้มราคาและค่าขายทอดตลาดชั้นเดิม จำเลยผู้สู้ราคาคนเดิมต้องรับผิดในส่วนที่ขาดตาม ป.พ.พ. มาตรา 516 โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินแปลงดังกล่าวกับ ส. เมื่อศาลชั้นต้นกันส่วนเงินครึ่งหนึ่งที่ได้จากการขายทอดตลาดแก่โจทก์ ตามสำเนาคำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีแพ่ง โดยโจทก์รับเงินจำนวนน้อยลงจากการกระทำของจำเลย ย่อมกระทบต่อส่วนได้เสียของโจทก์ เป็นการถูกโต้แย้งสิทธิตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 560,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 535,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์และนางสาวสินมีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 22715 เลขที่ดิน 14 ตำบลบางเพรียง อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ จำเลยเป็นผู้เสนอราคาสูงสุดในการขายทอดตลาดที่ดินและเจ้าพนักงานบังคับคดีเคาะไม้ขายให้แก่จำเลยในราคา 1,810,000 บาท โดยจำเลยวางเงินมัดจำไว้จำนวน 50,000 บาท แต่จำเลยมิได้ชำระเงินส่วนที่เหลือจำนวน 1,760,000 บาท ภายในกำหนด เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงขายทอดตลาดใหม่ โดยมีนางจุไรเสนอราคาสูงสุดเป็นเงินจำนวน 690,000 บาท และเจ้าพนักงานบังคับคดีเคาะไม้ขายให้แก่นางจุไร โดยโจทก์มีสิทธิกันส่วนเงินครึ่งหนึ่งที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินตามคำสั่งของศาลชั้นต้น นางจุไรชำระเงินให้เจ้าพนักงานบังคับคดีครบถ้วนแล้วและเจ้าพนักงานบังคับคดีได้แจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นางจุไรแล้ว
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า ประกาศขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีตามเอกสารมีความชัดเจนหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า ประกาศขายทอดตลาด เอกสารข้อความว่า “ที่ดินโฉนดเลขที่ 22715 เลขที่ดิน 14 หน้าสำรวจ 5825 ตำบลบางเพรียง อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ มีชื่อนางสาวสินและนายชัยเอก เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ เนื้อที่ตามโฉนด 1 ไร่ 2 งาน สภาพที่ดินว่างเปล่า บางส่วนมีน้ำท่วมขัง ที่ดินที่จะขายติดจำนอง นางจุไร โจทก์ โดยเฉพาะส่วนของจำเลย เจ้าพนักงานบังคับคดีจะทำการขายโดยการปลอดจำนอง” ข้อความตามประกาศขายทอดตลาดไม่ชัดเจน ทำให้บุคคลเข้าใจว่า ขายทอดตลาดที่ดินเฉพาะส่วนของนางสาวสิน ไม่ใช่ขายทั้งแปลงนั้น เห็นว่า ข้อความตามประกาศขายทอดตลาดระบุทรัพย์ที่ขาย คือ ที่ดินเนื้อที่ตามโฉนด 1 ไร่ 2 งาน ตรงตามจำนวนเนื้อที่ของที่ดินแปลงดังกล่าวทั้งแปลง จึงชัดเจนแล้ว ส่วนที่จำเลยอ้างว่า ทำให้เข้าใจว่า ขายทอดตลาดที่ดินเฉพาะส่วนของนางสาวสินนั้น เป็นความเข้าใจของจำเลยเอง จากข้อความที่ว่า ที่ดินที่จะขายติดจำนอง นางจุไรโดยเฉพาะส่วนของจำเลย เป็นกรณีอธิบายว่าขายที่ดินแปลงดังกล่าวทั้งแปลง แต่ที่ดินแปลงนี้เฉพาะส่วนของจำเลยติดจำนองไว้แก่นางจุไรเท่านั้น ดังนั้นประกาศขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีมีความชัดเจนแล้ว
มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ซึ่งจำเลยฎีกาว่า เมื่อจำเลยผิดสัญญาซื้อขายต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี มูลคดีเกิดจากการขายทอดตลาดทรัพย์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ย.209/2552 ระหว่างนางจุไร โจทก์ กับนางสาวสิน จำเลย ของศาลชั้นต้น โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ถูกโต้แย้งสิทธิที่จะเกิดอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า แม้ตามสัญญาซื้อขายระบุว่า จำเลยทำสัญญากับเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ตาม แต่เมื่อการขายทอดตลาดครั้งแรกจำเลยเป็นผู้สู้ราคาสูงสุด แล้วละเลยไม่ใช้ราคา ผู้ทอดตลาดเอาทรัพย์สินนั้นออกขายอีกซ้ำหนึ่ง ถ้าและได้เงินเป็นจำนวนสุทธิไม่คุ้มราคาและค่าขายทอดตลาดชั้นเดิม จำเลยผู้สู้ราคาคนเดิมต้องรับผิดในส่วนที่ขาดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 516 เมื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินแปลงดังกล่าวกับนางสาวสิน ซึ่งศาลชั้นต้นกันส่วนเงินครึ่งหนึ่งที่ได้จากการขายทอดตลาดแก่โจทก์ ตามสำเนาคำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ก.16/2553 โดยโจทก์รับเงินจำนวนน้อยลงจากการกระทำของจำเลย ย่อมกระทบต่อส่วนได้เสียของโจทก์ เป็นการถูกโต้แย้งสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งยกเลิกการขายทอดตลาดครั้งพิพาทแล้ว ตามสำเนาคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลยแดงที่ ย.209/2552 ของศาลชั้นต้นคดีหมายเลขแดงที่ 1016/2555 ของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ท้ายคำแถลงของทนายจำเลย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์นั้น แม้ปัญหาดังกล่าวไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 แต่ข้อเท็จจริงเกิดขึ้นภายหลังจากที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาคดีนี้ จึงเป็นกรณีที่จำเลยไม่อาจยกปัญหาขึ้นกล่าวในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้ เพราะพฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้กระทำได้ ทั้งเป็นอำนาจฟ้องของโจทก์ จำเลยย่อมมีสิทธิจะยกปัญหานี้ขึ้นกล่าวอ้างในฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง เห็นว่า ปรากฏข้อเท็จจริงต่อมาว่าศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ย.209/2552 ของศาลชั้นต้น คดีหมายเลขแดงที่ 1016/2555 ของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18002/2556 พิพากษาให้ยกคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดแล้ว ทั้งนางจุไรผู้ซื้อทรัพย์ได้ชำระเงินให้เจ้าพนักงานบังคับคดีครบถ้วนแล้ว อันเป็นผลให้การขายทอดตลาดที่จำเลยเป็นผู้เข้าสู้ราคาสมบูรณ์ตามกฎหมาย ฎีกาของจำเลยล้วนฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share