แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีระหว่างโจทก์จำเลยระบุว่าหากตามประเพณีการค้าซึ่งธนาคารปฏิบัติกันโดยมีการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยไพรม์เรตก็ดีหรือหากมีกฎหมายหรือประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานหรืออัตราสูงสุดสำหรับเงินกู้ประเภทต่างๆก็ดีผู้กู้ยอมให้ผู้ให้กู้มีอำนาจที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยตามสัญญานี้ได้ตามสมควรตามดุลพินิจของผู้ให้กู้โดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากผู้กู้ก่อนแต่หลังจากเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวแล้วผู้ให้กู้จะต้องแจ้งให้ผู้กู้ทราบโดยด่วนตามสัญญานี้แสดงว่าโจทก์มีสิทธิปรับดอกเบี้ยให้สูงขึ้นได้ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยโดยไม่ต้องรับความยินยอมจากจำเลยซึ่งเป็นผู้กู้ก่อนแม้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจะได้ตกลงเรื่องอัตราดอกเบี้ยเบิกเงินเกินบัญชีร้อยละ12.5ต่อปีโจทก์ก็มีสิทธิปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นเกินร้อยละ12.5ได้ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ข้อที่ว่าจำเลยกู้ยืมเพื่อใช้ในการอุตสาหกรรมหรือไม่เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นและมิใช่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เงินกู้เงินเกินบัญชีเลขที่ 222-7 จำนวน79,962,567.13 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีและให้จำเลยชำระหนี้เงินเบิกเงินเกินบัญชีเลขที่ 03929-4จำนวน 37,134,546.53 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ15 ต่อปี
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีตามฟ้อง โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นเอาจากจำเลย การคิดดอกเบี้ยของโจทก์จึงไม่ถูกต้อง โจทก์ได้คิดคำนวณดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าร้อยละ 12.5 ต่อปี โดยคิดคำนวณดอกเบี้ยเอาแก่จำเลยตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2523 เป็นต้นมาในอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี ถึงร้อยละ 19 ต่อปี เป็นการคิดโดยพลการ ซึ่งไม่มีข้อตกลงให้โจทก์มีอำนาจที่จะกระทำเช่นนั้นได้จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ทำให้ยอดดอกเบี้ยสูงขึ้นเป็นทวีคูณเพื่อให้จำเลยต้องรับผิดชอบเพิ่มขึ้นโจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดคำนวณดอกเบี้ยตามวิธีการคำนวณดังกล่าวข้างต้นเป็นการประพฤติผิดสัญญาทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาดอกเบี้ยจากจำเลยตามฟ้องได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีรวมเป็นเงินจำนวน 116,858,292.87 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีระหว่างโจทก์จำเลยข้อ 3 ระบุว่า หากตามประเพณีการค้า ซึ่งธนาคารปฏิบัติกันโดยมีการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยไพรม์เรต ก็ดี หรือหากมีกฎหมายหรือประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานหรืออัตราสูงสุดสำหรับเงินกู้ประเภทต่าง ๆก็ดี ผู้กู้ยอมให้ผู้ให้กู้มีอำนาจที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยตามสัญญานี้ได้ตามสมควร ตามดุลพินิจของผู้ให้กู้โดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากผู้กู้ก่อน แต่หลังจากเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวแล้วผู้ให้กู้จะต้องแจ้งให้ผู้กู้ทราบโดยด่วนแสดงว่า โจทก์จำเลยตกลงกันไว้ล่วงหน้าให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้ให้กู้มีอำนาจปรับอัตราดอกเบี้ยได้ตามสมควรตามดุลพินิจของผู้ให้กู้เมื่อมีประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน หรืออัตราสูงสุด โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากจำเลยซึ่งเป็นผู้กู้เพียงแต่ว่าเมื่อเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยแล้ว ต้องแจ้งให้ผู้กู้ทราบโดยด่วนเท่านั้น เช่นนี้โจทก์จึงมีสิทธิปรับดอกเบี้ยให้สูงขึ้นได้ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยไม่ต้องรับความยินยอมจากจำเลยซึ่งเป็นผู้กู้ก่อน
ข้อที่ว่าจำเลยกู้ยืมเพื่อใช้ในการอุตสาหกรรมหรือไม่เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้น และมิใช่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน