คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 934/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยซื้อเชื่อกระดาษ เครื่องเขียน จากพ่อค้า(โจทก์)ไปขายต่อเด็กนักเรียน เช่นนี้หาใช่เป็นการทำเพื่ออุตสาหกรรมของจำเลยไม่ สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1)
เมื่อ จำเลยรับสภาพหนี้ ย่อมทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 เมื่ออายุความสะดุดหยุดลงแล้ว การเริ่มต้นนับอายุความใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 181 ก็ต้องถืออายุความเดิม เป็นแต่ตั้งต้นนับใหม่เท่านั้น
คู่ความแถลงขอให้ศาลชี้ขาดว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่เพียงประเด็นเดียวโดยไม่สืบพยานในประเด็นอื่นอีก เช่นนี้ ศาลจะชี้ขาดได้ต้องอาศัยข้อเท็จจริงซึ่งปรากฏในคำฟ้องคำให้การและคำแถลงของคู่ความประกอบด้วย การวินิจฉัยข้อเท็จจริงเช่นนี้ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกเหนือจากประเด็นแห่งคดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ซื้อสมุด เครื่องเขียนและสิ่งของอื่นจากโจทก์ไปจำหน่ายแก่บุคคลอื่นอีกทอดหนึ่งเป็นเงินเชื่อบ้าง เงินสดบ้างเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2503 นายชลิต สันธิศิริ ตัวแทนจำเลยกับนายจำลอง สุวรรณรักษ์ ตัวแทนโจทก์ได้คิดเงินกันและทำบันทึกไว้เป็นหนังสือว่าจำเลยคงค้างชำระโจทก์อยู่ 10,000 บาท กับเงินค่าป่วยการ ทวงถามอีก 1,200 บาท รวม 11,200 บาท เงินที่ค้างนี้จำเลยรับจะชำระให้เป็นรายเดือน แต่จำเลยไม่ได้ชำระ โจทก์จึงให้ทนายโจทก์มีจดหมายลงวันที่ 11 กันยายน 2504 ทวงหนี้จำเลยจำเลยได้ตอบทนายเป็นบันทึกในหลังนามบัตร ยอมรับสภาพหนี้ที่ตัวแทนทำไว้ และขอพบทนายโจทก์ที่บ้านทนายในวันจันทร์ที่ 6 แต่จำเลยไม่ไปตามนัด ขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระหนี้ตามฟ้อง

จำเลยให้การปฏิเสธกับตัดฟ้องว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ

วันชี้สองสถาน จำเลยแถลงรับว่า นายชลิตตัวแทนจำเลยได้ทำเอกสารหมาย 1 แทนจำเลยจริง และจำเลยได้เขียนบันทึกรับสภาพหนี้ถึงทนายโจทก์จริง แต่เขียนส่งไปก่อนวันที่โจทก์ฟ้องกว่า 2 ปีแล้วโจทก์จำเลยแถลงขอให้ศาลชี้ขาดว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่เพียงประเด็นเดียว ไม่สืบในข้ออื่นอีก

ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีนี้มีอายุความ 2 ปี หนังสือรับสภาพหนี้นั้นจำเลยเขียนไปถึงโจทก์กว่า 2 ปีก่อนฟ้อง ฟ้องโจทก์ขาดอายุความให้ยกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า หนังสือรับสภาพหนี้นั้นจำเลยได้ทำขึ้นเมื่อได้รับหนังสือทวงหนี้จากทนายโจทก์แล้ว นับจากวันที่ทนายโจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้จนถึงวันฟ้องยังไม่ถึง 2 ปี คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ พิพากษากลับให้จำเลยใช้หนี้โจทก์ตามฟ้อง

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์เป็นพ่อค้าทำการค้ากระดาษเครื่องเขียนและกิจการอื่นจำเลยได้ซื้อเชื่อของดังกล่าวจากโจทก์เพื่อเอาไปขายต่อให้นักเรียนในโรงเรียน หาใช่เป็นการทำเพื่ออุตสาหกรรมของจำเลยไม่ สิทธิเรียกร้องของโจทก์มีอายุความสองปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1)

ปัญหาต่อไปมีว่า เมื่อคู่ความแถลงไม่สืบพยาน และขอให้ศาลชี้ขาดว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เช่นนี้ ศาลจะหยิบยกข้อเท็จจริงซึ่งปรากฏในคำฟ้อง คำให้การและคำแถลงรับของคู่ความ มาวินิจฉัยเพื่อชี้ขาดในเรื่องอายุความได้หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ตามที่โจทก์จำเลยแถลงให้ศาลชี้ขาดซึ่งเป็นประเด็นแพ้ชนะกัน ในคำว่าขาดอายุความฟ้องร้องหรือไม่คดีจะขาดอายุความฟ้องร้องหรือไม่นี้ศาลจะชี้ขาดได้ต้องอาศัยข้อเท็จจริงประกอบด้วย จำเลยได้แถลงรับว่าได้เขียนหนังสือรับสภาพหนี้ส่งไปให้ทนายโจทก์จริง เมื่อจำเลยได้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ (โจทก์) ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้ อายุความย่อมสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 เมื่ออายุความสะดุดหยุดลงแล้ว การเริ่มต้นนับอายุความใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 181 ก็ต้องถืออายุความเดิมเป็นแต่ตั้งต้นนับใหม่เท่านั้น แต่ปรากฏว่าเอกสารรับสภาพหนี้นั้นมิได้ลงวันเดือนปีไว้ ศาลจึงจำต้องวินิจฉัยถึงวันเดือนปีที่จำเลยได้รับสภาพหนี้ เพราะถ้าจำเลยรับสภาพหนี้ก่อนฟ้องสองปี คดีโจทก์ก็ขาดอายุความ จริงอยู่จำเลยได้แถลงรับว่าได้เขียนหนังสือรับสภาพหนี้ส่งไปให้ก่อนวันที่โจทก์ฟ้องจำเลยกว่า 2 ปี กะดูราว 3 ปีเห็นจะได้ แต่ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้แถลงรับว่าเป็นความจริง จะฟังเป็นยุติดังจำเลยกล่าวอ้างไม่ได้ การวินิจฉัยข้อเท็จจริงดังกล่าวของศาลอุทธรณ์จึงไม่เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกเหนือจากประเด็นแห่งคดี และที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยได้ทำนามบัตรรับสภาพหนี้ภายหลังวันในหนังสือทวงถามของทนายโจทก์ ซึ่งนับถึงวันฟ้องยังไม่เกิน 2 ปีนั้น ชอบแล้ว คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความฟ้องร้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยแพ้คดีตามคำท้า ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืน

Share