แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญากู้ยืมเงินที่ระบุว่าให้คิดดอกเบี้ยกันตามกฎหมาย แต่ไม่ได้กำหนดอัตราว่าเท่าใดนั้น ต้องคิดดอกเบี้ยกันร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีและถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของสัญญากู้ ซึ่งผู้ให้กู้จะนำสืบเป็นว่าได้ตกลงดอกเบี้ยกันในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีไม่ได้
เอกสารซึ่งมีข้อความระบุว่าเป็นการชำระค่าดอกเบี้ยอย่างเดียวชัดแจ้งแล้ว ย่อมจะนำสืบตีความว่า เป็นการชำระต้นเงินด้วยไม่ได้เช่นกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ได้กู้เงินโจทก์ ๔,๐๐๐ บาท ตกลงให้ดอกเบี้ยตามกฎหมาย ดอกเบี้ยในเดือนแรก จำเลยคิดให้ร้อยละ ๑๕ ต่อปี รวมค่าอากรแสตมป์และแบบพิมพ์ ๘๐ บาท จำเลยคิดรวมในสัญญากู้เป็นเงิน ๔,๐๘๐ บาท จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยเคยชำระดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี ต่อมาจำเลยผิดนัด ขอให้บังคับ
จำเลยให้การว่า ได้กู้เงินโจทก์จริง แต่ตกลงให้ดอกเบี้ยตามกฎหมาย ได้ชำระต้นเงินและดอกเบี้ย ๒ ครั้งเป็นเงิน ๔,๐๐๐ บาท คิดหักแล้วยังเป็นหนี้โจทก์เพียง ๑,๖๙๙ บาท ๒๑ สตางค์ เท่านั้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้เงิน ๔,๐๐๐ บาท กับดอกเบี้ยที่ค้าง ๑,๔๒๐ บาทแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยทั้งสองชำระต้นเงิน ๒,๔๑๒.๕๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ๑/๒ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ในการกู้รายนี้ ในสัญญากู้ระบุว่าให้คิดดอกเบี้ยกันตามกฎหมายแต่ไม่ได้กำหนดอัตราว่าเท่าใดให้ชัดแจ้ง ฉะนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๗ การกู้รายนี้จึงต้องคิดดอกเบี้ยกันร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี และการกู้เงินที่กำหนดให้มีดอกเบี้ยไว้ในสัญญาเช่นคดีนี้ ถือได้ว่าในเรื่องกำหนดให้มีดอกเบี้ยไว้นั้นเป็นส่วนหนึ่งของสัญญากู้ ตามมาตรา ๖๕๓ วรรคแรก การกู้ยืมเงินกว่า ๕๐ บาทขึ้นไป ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ เป็นการบังคับว่าในการฟ้องร้องต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือมาแสดง โจทก์จึงจะนำสืบเปลี่ยนแปลงใจความที่ระบุว่าดอกเบี้ยตามกฎหมายมาเป็นว่าได้ตกลงกันในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีไม่ได้ เป็นการสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขใจความในเอกสารที่โจทก์อ้างมา
ส่วนใบรับเงินที่จำเลยที่ ๒ เป็นผู้เขียนเองทั้งสองฉบับ มีใจความชัดแจ้งว่าเงินที่จำเลยชำระให้โจทก์นั้น เป็นการชำระค่าดอกเบี้ย เมื่อจำเลยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือในการชำระต้นเงินมาแสดงแล้ว ย่อมจะนำสืบตีความว่าเป็นการชำระต้นเงินด้วยไม่ได้ เพราะขัดกับเอกสารที่ว่าเป็นการชำระดอกเบี้ยดังกล่าว ส่วนเงินที่จำเลยชำระให้โจทก์ไปเกินกว่าร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนี้จะคืนให้จำเลยได้หรือไม่ ไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีนี้
พิพากษาแก้ ให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงิน ๔,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗ ๑/๒ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระก็ให้จำเลยที่ ๒ ชำระแทน แต่ไม่ตัดสิทธิจำเลยที่จะไปว่ากล่าวในจำนวนเงินที่ชำระเกินดังได้วินิจฉัยมาแล้ว