แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้เอกสารหมาย จ.19 เป็นเพียงสำเนาเอกสาร แต่เมื่อโจทก์ทั้งห้าซึ่งถูกจำเลยอ้างเอกสารดังกล่าวมาเป็นพยานหลักฐานยัน มิได้คัดค้านว่าไม่มีต้นฉบับหรือต้นฉบับนั้นปลอมทั้งฉบับหรือบางส่วนหรือสำเนานั้นไม่ถูกต้องกับต้นฉบับก่อนวันสืบพยาน และไม่ได้ขออนุญาตคัดค้านในภายหลังก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา โจทก์ทั้งห้าจึงต้องห้ามไม่ให้คัดค้านการมีอยู่หรือความแท้จริงของเอกสารนั้นหรือความถูกต้องแห่งสำเนาเอกสารนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 125 เอกสารหมาย จ.19 จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
ย่อยาว
โจทก์ทั้งห้าฟ้องว่า บริษัทลัคกี้เซ็นเตอร์พลาซ่า จำกัดทำสัญญากู้เงินจากจำเลย 50 ล้านบาท โดยโจทก์ที่ 1นางสาววราภรณ์ วชิรอังศนา และบริษัทกรุงเทพอาคาร จำกัดได้ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของบริษัทดังกล่าวไว้ และบริษัทลัคกี้เซ็นเตอร์ พลาซ่า จำกัด กับพวก ได้นำที่ดิน16 โฉนดมาจดทะเบียนจำนองเพื่อค้ำประกันหนี้ดังกล่าวโดยโจทก์ที่ 1 ได้โอนสิทธิการเช่าอาคารพาณิชย์จำนวน 10 คูหาให้แก่จำเลย และโจทก์ที่ 1 กับนางสาววราภรณ์ยังได้นำใบหุ้นชนิดระบุชื่อของบริษัทกรุงเทพอาคาร จำกัด ที่มีชื่อโจทก์ที่ 1เป็นเจ้าของ 2 ฉบับ จำนวนหุ้น 900 หุ้น และ 50 หุ้นมีชื่อโจทก์ที่ 2 เป็นเจ้าของ 1 ฉบับ จำนวน 755 หุ้น มีชื่อโจทก์ที่ 3 เป็นเจ้าของ 1 ฉบับ จำนวน 290 หุ้น มีชื่อโจทก์ที่ 4เป็นเจ้าของ 1 ฉบับ จำนวน 485 หุ้น มีชื่อโจทก์ที่ 5เป็นเจ้าของหุ้น 1 ฉบับ จำนวน 10 หุ้น ถึง 15 กับใบหุ้นที่ระบุชื่อคนอื่นเป็นเจ้าของอีก 1 ฉบับ รวมทั้งสิ้น 7 ฉบับ จำนวน2,500 หุ้นมามอบไว้แก่จำเลยด้วย ต่อมาบริษัทลัคกี้เซ็นเตอร์พลาซ่า จำกัด ชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินดังกล่าวให้แก่จำเลยเสร็จสิ้นครบถ้วน และจำเลยได้คืนและถอนหลักประกันต่าง ๆ ให้แก่เจ้าของทรัพย์และผู้ค้ำประกันแล้วแต่จำเลยไม่ส่งมอบใบหุ้นดังกล่าวคืนแก่โจทก์ทั้งห้า ต่อมาวันที่5 กุมภาพันธ์ 2535 จำเลยมีหนังสือบอกกล่าวไปยังโจทก์ที่ 2 ที่ 3และที่ 5 ว่าจำเลยจะบังคับจำนำและทำการขายทอดตลาดหุ้นดังกล่าวของโจทก์ทั้งห้า ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายจำเลยไม่มีสิทธิจะกระทำได้ ขอให้บังคับห้ามจำเลยนำหุ้นบริษัทกรุงเทพอาคาร จำกัด ของโจทก์ทั้งห้าออกขายทอดตลาดและให้จำเลยส่งมอบใบหุ้นดังกล่าวคืนแก่โจทก์ทั้งห้า
จำเลยให้การว่า บริษัทลัคกี้เซ็นเตอร์พลาซ่า จำกัดยังชำระหนี้ให้แก่จำเลยไม่ครบถ้วน บริษัทดังกล่าวเป็นหนี้จำเลยคิดเพียงวันที่ 11 ธันวาคม 2534 จำนวน 27,623,418.73 บาทโจทก์ทั้งห้าซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันบริษัทดังกล่าวโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับบริษัทนั้นและได้จำนำหุ้นดังกล่าวไว้แก่จำเลยต้องรับผิดชำระหนี้นั้นให้แก่จำเลย จำเลยชอบที่จะบังคับจำนำหุ้นของโจทก์ทั้งห้าได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งห้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งห้าว่า บริษัทลัคกี้เซ็นเตอร์พลาซ่า จำกัด ได้ชำระหนี้เงินกู้ให้แก่จำเลยหมดสิ้นแล้วหรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวโจทก์ทั้งห้านำสืบว่า บริษัทลัคกี้เซ็นเตอร์พลาซ่า จำกัดได้ชำระหนี้เงินกู้ให้แก่จำเลยหมดสิ้นแล้ว ส่วนจำเลยนำสืบว่าบริษัทลัคกี้เซ็นเตอร์พลาซ่า จำกัด ยังชำระหนี้เงินกู้ให้แก่จำเลยไม่หมด บริษัทดังกล่าวยังคงเป็นหนี้จำเลยอยู่ โดยจำเลยมีเอกสารหมาย จ.19 ซึ่งเป็นเอกสารหมาย จ.9 ในคดีหมายเลขดำที่ 24514/2534 ของศาลชั้นต้น ที่จำเลยซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวได้ส่งอ้างเป็นพยานหลักฐานในคดีนั้นเป็นพยานหลักฐานประกอบด้วยที่โจทก์ทั้งห้าฎีกาว่า เอกสารหมาย จ.19 มิใช่เอกสารต้นฉบับต้นฉบับของเอกสารดังกล่าวอยู่ที่ศาลอาญาในคดีที่จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องนางสาววราภรณ์ วชิรอังศนา เป็นจำเลยในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คเอกสารหมาย จ.19 มิใช่เป็นพยานเอกสารเพราะต้นฉบับเอกสารดังกล่าวได้มาจากข้อมูลที่จำเลยบันทึกลงในเครื่องคอมพิวเตอร์เมื่อได้พิมพ์ข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วต้องนำข้อมูลดังกล่าวมาทำการแปลงและเขียนเป็นลายมือเขียนขึ้นใหม่ให้เป็นเอกสารดังกล่าวนั้น ปรากฏจากรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 31 มกราคม2537 ว่าคู่ความทั้งสองฝ่ายต่างอ้างเอกสารในสำนวนคดีหมายเลขดำที่ 24514/2534 ของศาลชั้นต้นเพื่อประกอบการพิจารณาคดีนี้ซึ่งศาลได้หมายเอกสารในสำนวนคดีดังกล่าวเป็นเอกสารหมาย จ.10ถึง จ.89 และเอกสารหมาย ล.17 ถึง ล.23 และคู่ความทั้งสองฝ่ายต่างรับรองว่าเอกสารของอีกฝ่ายหนึ่งถูกต้องแล้ว และแถลงร่วมกันขอให้ถือเอาคำเบิกความของพยานทั้งสองฝ่ายในชั้นไต่สวนของโจทก์และในชั้นที่จำเลยขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลคุ้มครองชั่วคราวของโจทก์ก่อนพิพากษา รวมทั้งเอกสารของทั้งสองฝ่ายที่อ้างในชั้นพิจารณาเป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาพิพากษาคดีนี้ โดยคู่ความไม่ติดใจสืบพยานต่อไป จึงถือได้ว่าคู่ความทั้งสองฝ่ายได้รับรองแล้วว่าเอกสารหมาย จ.19 ซึ่งเป็นเอกสารที่จำเลยซึ่งเป็นโจทก์ในคดีหมายเลขดำที่ 24514/2534 ของศาลชั้นต้นได้ส่งอ้างเป็นเอกสารหมาย จ.9 ในคดีดังกล่าวเป็นพยานเอกสาร โจทก์ทั้งห้าจึงไม่อาจยกขึ้นอุทธรณ์ฎีกาว่าเอกสารหมาย จ.19 หรือเอกสารหมาย จ.9ในคดีหมายเลขดำที่ 24514/2534 ของศาลชั้นต้นมิใช่พยานเอกสารและแม้ได้ความว่าเอกสารหมาย จ.19 เป็นสำเนาเอกสารโดยต้นฉบับของเอกสารดังกล่าวอยู่ที่ศาลอาญาก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ทั้งห้าซึ่งถูกจำเลยอ้างเอกสารหมาย จ.19 มาเป็นพยานหลักฐานยันโจทก์ทั้งห้ามิได้คัดค้านว่าไม่มีต้นฉบับหรือว่าต้นฉบับนั้นปลอมทั้งฉบับหรือบางส่วนหรือสำเนานั้นไม่ถูกต้องกับต้นฉบับก่อนวันสืบพยาน และไม่ได้ขออนุญาตคัดค้านในภายหลังก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา โจทก์ทั้งห้าจึงต้องห้ามไม่ให้คัดค้านการมีอยู่หรือความแท้จริงของเอกสารนั้นหรือความถูกต้องแห่งสำเนาเอกสารนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 125 ศาลจึงรับฟังเอกสารหมาย จ.19 นั้นเป็นพยานหลักฐานได้ ปรากฏว่าเอกสารหมาย จ.19 เป็นสำเนาบัญชีเงินให้กู้ที่จำเลยให้บริษัทลัคกี้เซ็นเตอร์พลาซ่า จำกัด กู้เงินในวงเงิน 45 ล้านบาทและปรากฏจากเอกสารดังกล่าวว่าบริษัทลัคกี้เซ็นเตอร์พลาซ่า จำกัดได้เบิกเงินที่กู้ไปจากจำเลยเป็นครั้งคราวจนครบวงเงินกู้ดังกล่าวโดยได้นำเงินมาชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นครั้งคราวและหลังจากที่บริษัทลัคกี้เซ็นเตอร์พลาซ่า จำกัด ได้ไถ่ถอนจำนองที่ดิน 13 โฉนดที่บริษัทดังกล่าวจดทะเบียนจำนองไว้แก่จำเลยเป็นประกันการชำระหนี้เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2532 แล้วบริษัทดังกล่าวยังได้นำเงินต้นและดอกเบี้ยมาชำระหนี้เงินกู้นั้นให้แก่จำเลยในวันที่ 16 ตุลาคม 2532 วันที่ 15 พฤศจิกายน 2532วันที่ 15 ธันวาคม 2532 วันที่ 15 มกราคม 2533 วันที่ 15กุมภาพันธ์ 2533 วันที่ 15 มีนาคม 2533 และวันที่ 14 พฤษภาคม2533 รวมเป็นเงิน 4,495,150.66 บาท แล้วไม่ได้มีการชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยให้แก่จำเลยอีก โดยในวันที่ 11 ธันวาคม 2534บริษัทลัคกี้เซ็นเตอร์พลาซ่า จำกัด เป็นหนี้เงินต้นแก่จำเลยจำนวน 5,803,051.15 บาท และเป็นหนี้ดอกเบี้ยจำนวน12,559,258.22 บาท เมื่อได้ความเช่นนี้ จึงน่าเชื่อว่าบริษัทลัคกี้เซ็นเตอร์พลาซ่า จำกัด ยังมิได้ชำระหนี้ให้จำเลยครบถ้วน พยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งห้า ฟังได้ว่าบริษัทลัคกี้เซ็นเตอร์พลาซ่า จำกัดยังชำระหนี้ให้จำเลยไม่ครบถ้วน ฎีกาของโจทก์ทั้งห้าข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์ทั้งห้าฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงจากเอกสารหมาย จ.19 และวินิจฉัยข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริงในสำนวนนั้น เห็นว่าเมื่อเอกสารหมาย จ.19 รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ ที่ศาลอุทธรณ์รับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานและวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าบริษัทลัคกี้เซ็นเตอร์พลาซ่า จำกัด ยังคงเป็นหนี้จำเลยอยู่นั้นจึงเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานในสำนวนโดยชอบฎีกาของโจทก์ทั้งห้าข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน และเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ทั้งห้าจำนำใบหุ้นบริษัทกรุงเทพอาคาร จำกัด ของโจทก์ทั้งห้าไว้แก่จำเลยเพื่อเป็นประกันหนี้ที่บริษัทลัคกี้เซ็นเตอร์พลาซ่า จำกัด มีอยู่กับจำเลยและบริษัทลัคกี้เซ็นเตอร์พลาซ่า จำกัด ยังชำระหนี้เงินกู้ให้จำเลยไม่ครบถ้วน จำเลยในฐานะเจ้าหนี้ผู้รับจำนำจึงมีสิทธิยึดใบหุ้นดังกล่าวของโจทก์ทั้งห้าไว้เพื่อนำออกขายทอดตลาดชำระหนี้ดังกล่าวได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแล้ว”
พิพากษายืน