คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1739/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ขออนุญาตปลูกเรือนพิพาทในที่วัดโดยตกลงกับวัดไว้ตามความตอนหนึ่ง ในหนังสือของโจทก์ที่มีไปถึงวัดดังนี้ “บ้านพักซึ่งหม่อมฉันปลูกไว้ในที่ดินขออาศัยนี้ หากหม่อมฉันเป็นตายร้ายดีหรือจะอยู่ในที่นั้นไม่ได้ต่อไป ก็ขอน้อถวายให้เป็นสมบัติของวัดพระมหาธาตุต่อไปด้วย” เช่นนี้ย่อมเป็นการแสดงออกซึ่งเจตนาโดยชัดแจ้งว่าให้สิ่งปลูกสร้างนั้นเป็นส่วนควบกับที่ดินจะไม่รื้อถอนเอาไป เรือนพิพาทย่อมตกได้แก่เจ้าของที่ดินตาม ป.พ.พ.ม. 107 กรณีไม่เข้าข้อยกเว้นตาม ม.109 ดังนี้เมื่อโจทก์ไม่พอใจอยู่บ้านนั้นต่อไปแล้ว โจทก์ก็ไม่มีสิทธิรื้อถอนเรือนไปด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้อาศัยปลูกเรือนในที่วัดสิงห์(วัดร้าง) ตำบลในเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ต่อจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้ปกครองวัดสิงห์ โจทก์จ้างช่างปลูกเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท ต่อมาโจทก์ไม่พอใจอยู่จึงออกไปและได้ให้คนไปรื้อ จำเลยที่ ๒ ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ ๑ ได้ร้องต่อเจ้าหน้าที่ให้จับกุมผู้ซื้อเป็นเหตุให้การรื้อต้องสดุดหยุดลง ตัวเรือนกรำแดดกรำผน โจทก์ไม่สามารถจะรับคืนมาในสภาพปกติ จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าเรือนพิพาทเป็นของโจทก์และให้จำเลยใช้ราคาเรือน ๒๐,๐๐๐ บาท โดยให้จำเลยรับเอาเรือนไป
จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ได้ขอปลูกเรือนพิพาทในที่วัดจริงแต่ได้ตกลงให้สัญญาว่าหากโจทก์ตายหรือจะอยู่ในที่ไม่ได้ต่อไปก็ขอถวายบ้านพัก (เรือนพิพาท) ให้เป็นสมบัติของวัดพระมหาธาตุ ในฐานะที่จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ปกครองวัดสิงห์และเป็นเจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุ จึงยอมตกลงโจทก์แสดงเจตนาให้เรือนพิพาทเป็นสมบัติของวัดมาแต่ต้นแล้ว
คู่ความต่างไม่ติดใจสืบพยานบุคคล ขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินตามฟ้องคำให้การและพยานเอกสาร ตามคำรับที่ส่งศาล
ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชพิพากษายกฟ้องโจทก์ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าปัญหาคงมีแต่เพียงว่าเรือนพิพาทนี้เป็นของโจทก์หรือของวัด ได้ความว่าเรือนพิพาทโจทก์ปลูกในที่ดินของวัดโดยวัดยินยอมอนุญาตเพราะโจทก์ตกลงว่า “บ้านพักซึ่งหม่อมฉันปลูกไว้ในที่ดินที่ขออาศัยนี้ หากหม่อมฉันเป็นตายร้ายดีลง หรือจะอยู่ในที่นั้นไม่ได้อีกต่อไปก็ขอน้อมถวายให้เป็นสมบัติของวัดพระมหาธาตุต่อไปด้วย” ฉนี้เป็นการแสดงออกซึ่งเจตนาโดยชัดแจ้งว่าให้สิ่งปลูกสร้างนั้นเป็นส่วนควบกับที่ดินจะไม่รื้อถอนเอาไป วัดซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินย่อมเป็นเจ้าของโรงเรือนนั้นตามหลักส่วนความตาม ป.พ.พ.ม.๑๐๗ กรณีไม่มีทางที่จะเข้าข้อยกเว้นตาม ม.๑๐๙ โจทก์ไม่มีสิทธิจะรื้อถอน
พิพากษายืน

Share