คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9302/2547

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หลังจากจำเลยที่ 1 ได้ออกหมายเรียกตรวจสอบภาษีให้กรรมการโจทก์ไปพบและส่งบัญชีพร้อมทั้งเอกสารไปให้ตรวจสอบ โจทก์ส่งสมุดบัญชีแยกประเภทไปให้จำเลยที่ 1 เพียง 1 เล่ม และผู้รับมอบอำนาจโจทก์ได้แจ้งต่อเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ว่าจะทำหนังสือขอให้เจ้าพนักงานประเมินไปตรวจสอบเอกสารอื่น ๆ ในสำนักงานของโจทก์ในภายหลัง แสดงว่าโจทก์ทราบดีว่ายังมีเอกสารที่จะต้องให้เจ้าพนักงานประเมินไปตรวจสอบอีก แต่โจทก์ก็ไม่ส่งไปให้ตรวจสอบ และมิได้แจ้งให้เจ้าพนักงานประเมินไปตรวจสอบ ณ สำนักงานของโจทก์แต่อย่างใด การที่โจทก์ไม่ส่งบัญชีเอกสารหรือหลักฐานอื่นมาให้เจ้าพนักงานประเมินทำการไต่สวนตามมาตรา 19 แห่ง ป.รัษฎากร เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจประเมินภาษีของโจทก์ในอัตราร้อยละ 5 ของยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ได้ตาม ป.รัษฎากรมาตรา 71 (1)
โจทก์ประกอบกิจการขนส่งไม่ใช่ผู้ประกอบกิจการขายส่งสินค้าประเภทซึ่งเจ้าพนักงานประเมินสามารถหาหลักฐานเพื่อนำมาใช้ในการคำนวณกำไรสุทธิได้โดยง่ายเช่นเดียวกับกิจการขายส่งสุรา เบียร์ ยาสูบ น้ำมันเชื้อเพลิง ปูนซิเมนต์ เป็นต้น ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 78/2541 เรื่อง ขอบเขตการใช้อำนาจตามมาตรา 71 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น จึงไม่อาจนำคำสั่งดังกล่าวมาใช้ในกรณีของโจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลเลขที่ 2007340/2/100157 ลงวันที่ 23 มิถุนายน 2543 ของจำเลยที่ 1 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์เลขที่ สภ.2/7340/ฝ.4/1/45/84 ลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2544 ของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 งดหรือลดเงินเพิ่มตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคล
จำเลยทั้งสี่ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสี่ โดยกำหนดค่าทนายความ 6,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ได้ตรวจวิเคราะห์แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล (ภ.ง.ด. 50) ของโจทก์แล้ว เห็นว่าไม่ถูกต้องจึงได้ออกหมายเรียกให้กรรมการของโจทก์ไปพบพร้อมนำเอกสารที่เกี่ยวข้องไปมอบให้เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 โจทก์ให้ผู้รับมอบอำนาจของโจทก์ไปพบเจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 และส่งมอบเอกสารประกอบเป็นบัญชีแยกประเภทเอกสารหมาย จ.14 ให้จำเลยที่ 1 ไว้ตรวจสอบ หลังจากนั้นเจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 ได้ประเมินภาษีเงินได้ของโจทก์ใหม่ โดยประเมินในอัตราร้อยละ 5 ของยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ตาม ป. รัษฎากร มาตรา 71 (1) โจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ซึ่งมีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นกรรมการ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์พิจารณาแล้วมีคำวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ในประการแรกว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินกับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ พยานฝ่ายโจทก์และพยานฝ่ายจำเลยเบิกความตรงกันว่า หลังจากที่จำเลยที่ 1 ได้ออกหมายเรียกตรวจสอบภาษีให้กรรมการโจทก์ไปพบและส่งบัญชีพร้อมทั้งเอกสารไปให้ตรวจสอบ ปรากฏว่าโจทก์ส่งสมุดบัญชีแยกประเภทไปให้จำเลยที่ 1 เพียง 1 เล่ม และผู้รับมอบอำนาจโจทก์ได้แจ้งต่อเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ว่าจะทำหนังสือขอให้เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 ไปตรวจสอบเอกสารอื่น ๆ ณ สำนักงานของโจทก์ในภายหลังแสดงให้เห็นว่าโจทก์ทราบดีว่ายังมีเอกสารที่จะต้องให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบอีก แต่ปรากฏว่าโจทก์ก็ไม่ส่งไปให้ตรวจสอบและมิได้แจ้งให้เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 ไปตรวจสอบ ณ สำนักงานของโจทก์แต่อย่างใด การที่โจทก์ไม่ส่งบัญชีเอกสารหรือหลักฐานอื่นมาให้เจ้าพนักงานประเมินทำการไต่สวนตามมาตรา 19 แห่ง ป. รัษฎากร เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจประเมินภาษีของโจทก์ในอัตราร้อยละ 5 ของยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ได้ตาม ป. รัษฎากร มาตรา 71 (1)
ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า การประกอบกิจการของโจทก์เจ้าพนักงานประเมินสามารถหาหลักฐานเพื่อนำมาใช้ในการคำนวณกำไรสุทธิได้โดยง่าย เจ้าพนักงานประเมินต้องประเมินภาษีโจทก์ตาม ป. รัษฎากร มาตรา 20 คือหากตรวจพบว่าการคำนวณภาษีไม่ถูกต้องเจ้าพนักงานประเมินต้องแก้จำนวนเงินที่ประเมินหรือที่ยื่นรายการไว้เดิมโดยอาศัยพยานหลักฐานที่ปรากฏตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.78/2541 เรื่อง ขอบเขตการใช้อำนาจตามมาตรา 71 (1) แห่งประมวลรัษฎากร นั้น เห็นว่า โจทก์ประกอบกิจการขนส่งไม่ใช่เป็นผู้ประกอบกิจการขายส่งสินค้าประเภทซึ่งเจ้าพนักงานประเมินสามารถหาหลักฐานเพื่อนำมาใช้ในการคำนวณกำไรสุทธิได้โดยง่าย เช่นเดียวกับกิจการขายส่งสุรา เบียร์ ยาสูบ น้ำมันเชื้อเพลิง ปูนซีเมนต์ เป็นต้น ตามคำสั่งกรมสรรพากรดังกล่าวแต่อย่างใด ดังนี้ จึงไม่อาจนำคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.78/2541 มาใช้ในกรณีของโจทก์ได้…
พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 5,000 บาท แทนจำเลยทั้งสี่.

Share