คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9300/2539

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ส. ถูกฟ้องว่าร่วมกันฆ่าผู้ตายด้วย แต่เป็นคนละสำนวนกับคดีนี้ การที่โจทก์อ้าง ส. เป็นพยานจึงมิใช่กรณีที่โจทก์อ้างจำเลยเป็นพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 232 คำเบิกความของส. จึงรับฟังได้ แต่จะรับฟังได้เพียงใดหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ข้อแตกต่างเกี่ยวกับสถานที่กระทำความผิดเป็นเพียงรายละเอียด ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคสาม บัญญัติมิให้ถือว่าเป็นข้อแตกต่างกันให้ข้อสาระสำคัญ ทั้งจำเลยก็เข้าใจดีแล้วว่าเหตุเกิดในบริเวณใดมิได้หลงต่อสู้จึงลงโทษจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2533 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยกับพวกอีก 2 คน โดยมีเจตนาฆ่าได้ร่วมกันชกต่อยตบตีนายวีระ เจริญปรุ ผู้ตาย บริเวณร่างกายและใบหน้าอย่างแรงหลายที ทำให้ผู้ตายล้มศีรษะและร่างกายด้านหลังกระแทกกับพื้นปูนซีเมนต์โดยแรง ได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลที่ศีรษะเหนือหูด้านซ้ายยาว 3 เซนติเมตร กว้าง 1.5 เซนติเมตร รอยช้ำที่คางด้านซ้ายมุมปากด้านขวาบวม ตาด้านขวาเขียวช้ำ มีแผลถลอกที่กลางหลังด้านซ้ายและบริเวณเอว เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะบาดแผลดังกล่าวในเวลาต่อมา เหตุเกิดที่ตำบลในเมืองอำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 288
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายลิ้ม เจริญปรุบิดาผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 290 ให้จำคุก 5 ปี คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบมาโดยจำเลยมิได้โต้แย้งเป็นอย่างอื่นฟังได้ยุติว่าคืนเกิดเหตุนายวีระ เจริญปรุ ผู้ตายถูกคนร้ายหลายคนทำร้ายในบริเวณวัดเลียบจนถึงตอนเช้ามีผู้พบผู้ตายนอนสลบอยู่นอกกำแพงหน้าวัดจึงนำส่งโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา แล้วผู้ตายถึงแก่ความตายในตอนเย็นวันเดียวกัน ตามรายงานการชันสูตรพลิกศพเอกสารหมาย ป.จ.1 ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ร่วมทำร้ายผู้ตายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายหรือไม่ประจักษ์พยานโจทก์และโจทก์ร่วมมีนายสมพงษ์ มีสมเบิกความว่า คืนเกิดเหตุขณะนั่งดื่มสุราร่วมกับจำเลย ผู้ตายและพวกวัยรุ่นประมาณ 5 ถึง 6 คน ที่สระน้ำของวัด กลุ่มวัยรุ่นมีเรื่องทะเลาะกับผู้ตายเรื่องที่ผู้ตายใส่รองเท้าผิด แล้วผู้ตายถูกกลุ่มวัยรุ่นซึ่งมีจำเลยร่วมอยู่ด้วยเข้าชกต่อยจนล้มศีรษะฟาดพื้นซีเมนต์ นายสมพงษ์เข้าไปห้ามและกอดคอพาผู้ตายออกไปนอกวัด ผู้ตายบอกว่าไม่ต้องไปส่ง นายสมพงษ์จึงกลับบ้านฝ่ายจำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่า คืนเกิดเหตุจำเลยไปเที่ยวงานในวัดเลียบและเข้าร่วมวงดื่มสุราที่ข้างสระน้ำกับพวกประมาณ 7 ถึง 8 คน มีนายชลอ พึ่งทหาร นายสมพงษ์ มีสมและนายเหนี่ยวอยู่ด้วยส่วนผู้ตายจะร่วมดื่มสุราด้วยหรือไม่ไม่ทราบเพราะจำเลยไม่รู้จักจนถึงเวลา 23 นาฬิกา จำเลยจึงกลับบ้าน เห็นว่า พยานโจทก์และโจทก์ร่วมนอกจากนายสมพงษ์แล้วยังมีนายชลอ พึ่งทหารเป็นประจักษ์พยานอีกคนหนึ่ง แม้โจทก์และโจทก์ร่วมจะไม่ได้ตัวพยานปากนี้มาสืบแต่ก็ได้ส่งอ้างคำให้การชั้นสอบสวนของนายชลอตามเอกสารหมาย จ.3 เป็นพยาน โดยนายชลอ ให้การว่าเมื่อผู้ตายซึ่งมีอาการเมาสุรามากแล้วจะกลับบ้าน จำเลยกับพวกได้ทะเลาะกับผู้ตายเรื่องที่ผู้ตายใส่ร้องเท้าผิดแล้วจำเลยกับพวกเข้าชกต่อยผู้ตายที่บริเวณใบหน้าและปากหลายทีจนผู้ตายล้มศีรษะด้านหลังฟาดฟื้นปูนซีเมนต์นายชลอจึงเข้าไปห้าม สอดคล้องกับคำเบิกความของนายสมพงษ์ นายแพทย์ประสพสุขทรงไพบูลย์และรายงานการชันสูตรพลิกศพเอกสารหมาย ป.จ.1 ว่าผู้ตายมีบาดแผลที่ศีรษะ รอยฟกช้ำที่คางและมุมปาก สันนิษฐานว่าแผลที่ศีรษะเกิดจากการกระทบกับของแข็งไม่มีคม แม้นายสมพงษ์จะถูกฟ้องว่าร่วมกันฆ่าผู้ตายด้วย แต่ก็เป็นคนละสำนวนกับคดีนี้จึงมิใช่กรณีที่โจทก์อ้างจำเลยเป็นพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 232 คำเบิกความของนายสมพงษ์ จึงรับฟังได้แต่จะรับฟังได้เพียงใดหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนคำให้การชั้นสอบสวนของนายชลอแม้จะเป็นพยานบอกเล่าก็รับฟังประกอบพยานอื่นได้เช่นกัน เมื่อคำนึงถึงว่านายชลอได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนหลังเกิดเหตุเพียง 2 วัน โดยโจทก์และโจทก์ร่วมมีพันตำรวจโทนิคม อินเฉิดฉาย และพันตำรวจตรีจิระชัยเย็นทรวงพนักงานสอบสวนเบิกความยืนยันว่า นายชลอได้ให้การไว้ในชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.3 จริง ทั้งได้ความว่า นายชลอได้นำพันตำรวจตรีจิระชัยไปชี้ที่เกิดเหตุตามบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุคดีอาญาและแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย ป.จ.2 และ ป.จ.3 สอดคล้องกับตำแหน่งต่าง ๆ ที่พบรอยเลือดและที่ผู้ตายนอนอยู่ในแผนที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.1 ที่พนักงานสอบสวนได้ทำขึ้นไว้ก่อนตั้งแต่วันเกิดเหตุ จึงน่าเชื่อว่านายชลอได้ให้การไว้ตามที่รู้เห็นจริง จำเลยเองก็นำสืบรับว่า คืนเกิดเหตุจำเลยไปช่วยงานบวชที่วัดเลียบและร่วมวงดื่มสุรากับพวกประมาณ 7 ถึง 8 คนซึ่งมีนายชลอและนายสมพงษ์ร่วมอยู่ด้วย จึงเชื่อได้ว่าพยานดังกล่าวได้เห็นเหตุการณ์จริง ทั้งไม่ปรากฏว่าพยานคนใดมีสาเหตุอันใดกับจำเลย จึงไม่มีเหตุที่จะระแวงสงสัยว่าจะแกล้งเบิกความหรือให้การปรักปรำจำเลยพยานหลักฐานโจทก์และโจทก์ร่วมที่นำสืบมาฟังได้ว่า จำเลยได้ร่วมกับพวกทำร้ายผู้ตายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายจริง ฎีกาจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต่อไปตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์ฟ้องว่าเหตุเกิดที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา แต่จากคำพยานโจทก์ฟังได้ยุติว่า เหตุเกิดที่วัดเลียบ ตำบลปรุใหญ่ อำเภอเมืองนครราชสีมาทำให้จำเลยหลงต่อสู้ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) ศาลจึงต้องยกฟ้องหรือไม่ประทับฟ้องตามมาตรา 161นั้น เห็นว่า ปรากฏตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุ บันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.1 ป.จ.2 ป.จ.3 และคำเบิกความของพยานโจทก์และโจทก์ร่วมว่าเหตุเกิดที่ตำบลในเมืองคงมีแต่เพียงคำเบิกความของนายปรีชาและนายสมพงษ์พยานโจทก์ร่วมว่าเหตุเกิดที่วัดเลียบ ตำบลปรุใหญ่ จึงยังฟังยุติตามที่จำเลยฎีกาไม่ได้ว่าเหตุเกิดที่ตำบลใดแน่อย่างไรก็ดีข้อแตกต่างเกี่ยวกับสถานที่กระทำความผิดนั้นเป็นเพียงรายละเอียด ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม บัญญัติมิให้ถือว่าเป็นข้อแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ ทั้งจำเลยก็เข้าใจดีแล้วว่าเหตุเกิดในบริเวณวัดเลียบมิได้หลงต่อสู้แต่อย่างใดที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันให้ลงโทษจำเลยศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน

Share