แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ร้องเป็นเจ้าของครอบครองที่ดินพิพาทอยู่โดยยังไม่ได้โฉนด มีผู้อื่นไปจัดการออกโฉนดทับที่พิพาท โดยใส่ชื่อ ด. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ แต่บุคคลที่ชื่อ ด. นี้ไม่มีตัวตนจริงการออกโฉนดนี้จึงเป็นการไม่สุจริต ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์รับจำนองที่พิพาทตามหน้าโฉนดที่มีชื่อ ด.ถือกรรมสิทธิ์นี้ไว้.โดยอ้างว่าย. ญาติของตนเป็นผู้ติดต่อขอจำนอง โจทก์ไม่รู้จักหรือเคยพบเห็นคนที่ชื่อ ด.นี้เลย ในวันทำสัญญาจำนองก็มีว. ซึ่งโจทก์ไม่รู้จักมาอ้างว่าเป็นหลานของ ด.ได้รับมอบอำนาจจากด. ให้มาทำสัญญาจำนองโจทก์ก็เชื่อจึงรับจำนองและมอบเงินให้ ว.ไป.แต่แล้วโจทก์ก็ไม่มีย. และ ว.มาสืบ และเมื่อโฉนดนี้ออกให้แก่ด. ผู้ไม่มีตัวตนดังกล่าวแล้ว ใบมอบอำนาจนั้นก็ย่อมไม่มีผู้มอบเป็นตัวตนด้วยเช่นกัน ดังนี้ จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์รับจำนองไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิยึดที่พิพาทเพื่อบังคับจำนอง
ย่อยาว
เดิม ศาลพิพากษาให้จำเลยไถ่ถอนการจำนองที่ดินโฉนดที่ 597, 598, 599 และ 600 จากโจทก์ หากไม่ไถ่ก็ให้เอาออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยไม่ไถ่โจทก์จึงนำยึดที่ดินโฉนดที่ 599 กับ 600 ซึ่งมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และได้จำนองโจทก์ไว้ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขัดทรัพย์ว่า ผู้ร้องเป็นทรัสตีผู้จัดการมรดก ม.ร.ว.สุวพรรณ สนิทวงศ์ ทรัพย์ที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้องได้ครอบครองมาหลายสิบปี เจ้าพนักงานที่ดินได้ร่วมกับจำเลยและพวกออกโฉนดที่ 597, 598, 599 และ 600 ทับที่ของผู้ร้องจึงเป็นโฉนดไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อได้โฉนดแล้วจำเลยใช้สิทธิไม่สุจริต ร่วมกับเจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนการจำนองขึ้นสัญญาจำนองจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ถอนการยึด
โจทก์คัดค้านว่า ที่ที่นำยึดไม่ใช่ของผู้ร้อง เป็นของจำเลยโจทก์รับจำนองไว้ โดยสุจริตและมีค่าตอบแทน โฉนดที่ออกให้จำเลยชอบด้วยกฎหมาย และสัญญาจำนองก็ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ถอนการยึดที่ดินรายพิพาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ข้อที่โจทก์ฎีกาว่า ผู้ร้องทอดทิ้งการครอบครองจนนายดวงได้ไปขอออกโฉนดและได้รับมาเป็นหลักฐาน ต้องฟังว่าโฉนดรายนี้ชอบด้วยกฎหมายแล้วนั้น เห็นว่าการที่โฉนดที่พิพาทมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์นั้น รับฟังเป็นหลักฐานในเบื้องต้นได้ว่าผู้มีชื่อในโฉนดเป็นเจ้าของที่พิพาท แต่ก็เป็นข้อสันนิษฐานที่นำสืบหักล้างได้ในเมื่ออีกฝ่ายมีพยานหลักฐานมาพิสูจน์ได้ว่าโฉนดที่ออกมาในชื่อของบุคคลนั้น ๆ เป็นไปโดยมิชอบ ซึ่งในคดีนี้พยานผู้ร้องฟังได้ว่า ม.ร.ว.สุวพรรณ และทายาทได้ครอบครองที่พิพาทมา 40 กว่าปีแล้วม.ร.ว.สุวพรรณเคยไปขอออกโฉนด สำนักงานที่ดินก็ออกให้ แต่ไม่ได้ไปขอรับมา ต่อมาผู้จัดการดูแลผลประโยชน์กองมรดกม.ร.ว.สุวพรรณ ไปขอรับโฉนด แต่ทางสำนักงานที่ดินให้รอไว้ก่อนม.ร.ว.สุวพรรณตลอดจนทายาทได้ให้คนเช่าที่พิพาททำมาจนบัดนี้บุคคลที่ชื่อนายดวง ปลื้มจิตร ไม่มีตัวจริง ดังนั้น ข้อที่โจทก์อ้างว่ากองมรดกของ ม.ร.ว.สุวพรรณ ได้ทอดทิ้งที่พิพาทจนกระทั่งนายดวงแย่งการครอบครองไปจนขอออกโฉนดในนามของเขาไปได้แล้วนั้นจึงเลื่อนลอย ศาลฎีกาเชื่อว่าเป็นการออกโฉนดที่พิพาทให้แก่บุคคลที่ไม่มีตัวตนเป็นการไม่สุจริต ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
การที่โจทก์รับจำนองที่พิพาทตามหน้าที่โฉนดซึ่งมีชื่อนายดวงเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์นั้น โจทก์ว่านายยอดญาติของโจทก์เป็นผู้ติดต่อขอจำนองโจทก์ไม่เคยรู้จักนายดวง ไม่เคยพบเห็นคนชื่อนี้จนบัดนี้ ในวันทำสัญญาจำนองนายดวงก็ไม่ได้มาเองโจทก์อ้างว่ามีนายเหวียนซึ่งโจทก์ไม่เคยรู้จักมาอ้างว่าเขาเป็นหลานนายดวง ได้รับมอบอำนาจจากนายดวงให้มาทำสัญญาจำนองกับโจทก์โจทก์เชื่อว่าจริงจึงรับจำนองและมอบเงินให้นายเหวียนไป แต่โจทก์ก็ไม่มีนายยอดและนายเหวียนมาสืบ และดังที่ได้วินิจฉัยแล้วว่าโฉนดพิพาทออกให้แก่นายดวงผู้ไม่มีตัวตน ดังนั้นใบมอบอำนาจให้จำนองก็ไม่มีผู้มอบอำนาจตามชื่อนี้เป็นตัวตนเช่นกัน การที่โจทก์รับจำนองไว้จึงฟังไม่ได้ว่ากระทำไปโดยสุจริต และเสียค่าตอบแทน โจทก์จึงไม่มีสิทธิยึดที่พิพาท
พิพากษายืน