แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เจ้าของร้านขายส่งสุราเป็นคนอื่น มิได้เกี่ยวข้องอะไรกับบริษัทซึ่งทำการต้มกลั่นสุราเลย ส่วนได้ส่วนเสียแยกต่างหาก มิได้มีอะไรเกี่ยวพันกัน แม้ในฐานะของลูกจ้างกับนายจ้างก็มิได้มีปรากฏ เจ้าของร้านขายส่งสุราหลายรายต้องวางเงินประกันไว้ต่อบริษัทต้มกลั่น ซึ่งบางรายต้องวางเงินประกันไว้ก่อนถึง 80,000 บาท ก็มี ข้อสำคัญที่สุดก็คือ สุราที่ส่งไปให้ร้านขายส่งสุราเหล่านี้ บริษัทต้มกลั่นถือว่า เป็นการจำหน่ายเสร็จเด็ดขาดจากบริษัทต้มกลั่นไปแล้วทั้งสิ้น มิใช่ทรัพย์ของบริษัทต้มกลั่นอีกต่อไป บัญชีงบดุลก็มิได้แสดงว่าเป็นทรัพย์ของบริษัทต้มกลั่นเลย พฤติการณ์ทั้งมวลประกอบกันแสดงชัดว่า บริษัทต้มกลั่นได้ขายขาดสุราให้แก่ร้านขายส่งสุราเหล่านี้ไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องของตัวการกับตัวแทนหรือลูกจ้างกับนายจ้าง การรับเงินค่าสุราจากร้านขายส่งดังกล่าวจึงจำต้องออกใบรับและปิดอากรแสตมป์เพราะกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นตาม ข้อ ฌ. แห่งลักษณะตราสาร ข้อ 28
ย่อยาว
กรรมสรรพากรที่ ๑ โดยหลวงอาจพิศาลกิจ อธิบดี ที่ ๑ นายพ่วง สุวรรณรัฐ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาที่ ๒ นายธาดา อนุคระหานนท์ เจ้าหน้าที่อากรแสตมป์จังหวัดสงขลา ที่ ๓ จำเลย
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับประมูลทำการต้มกลั่นสุราที่จังหวัดสงขลา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๓ ครั้นวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๔๙๘ โจทก์ได้รับหนังสือจากจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่อากรแสตมป์จังหวัดสงขลา แจ้งว่าในการที่โจทก์ต้มกลั่นสุราของโจทก์ส่งสุราไปให้ร้านสาขาตัวแทนในเขตจังหวัดสงขลาขายส่งนั้น โจทก์มิได้ปิดอากรแสตมป์กรมสรรพากรถือว่า การกระทำเช่นนั้นเป็นการซื้อขายระหว่างโจทก์กับร้านสาขาผู้ขายส่งตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๔ จนถึง ๒๔๙๖ เป็นเงินอากร ๖๒,๘๘๑ บาท ๗๐ สตางค์ และต้องเสียภาษีเพิ่มตาม มาตรา ๑๑๔ อีก ๒๙๐,๓๙๖ บาท ๗๐ สตางค์ รวม ๓๕๓,๒๗๘ บาท ๔๐ สตางค์ให้นำเงินจำนวนดังกล่าวไปชำระยังแผนกสรรพากรจังหวัดสงขลาภายใน ๓๐ วัน แต่โจทก์เห็นว่าร้านสาขารับสุราไปจำหน่ายในนามของโจทก์เป็นตัวแทนหรือในฐานะลูกจ้างทำการในนามของโจทก์ซึ่งเป็นนายจ้าง หาใช่เป็นเรื่องซื้อไปจากโจทก์ไม่ โจทก์จึงได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร ในบัญชีอัตราอากรแสตมป์ ข้อ ณ. ลักษณะตราสาร ข้อ ๒๘ โจทก์ได้ร้องเรียนคัดค้านไปยังกรมสรรพากรแล้ว แต่อธิบดีกรมสรรพากรยืนยันว่า โจทก์จะต้องชำระเงินดังกล่าว จึงขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งกรมสรรพากร หนังสือผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา และหนังสือของพนักงานเจ้าหน้าที่อากรแสตมป์จังหวัดสงขลา เกี่ยวกับเรื่องนี้เสีย เพราะเป็นคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยทั้งสามต่อสู้ว่า พฤติการณ์ระหว่างโจทก์กับร้านสาขาขายส่งนั้น เป็นการซื้อขายสุราเสร็จเด็ดขาดไป เข้าลักษณะการค้าของคนกลางหาใช่ในลักษณะตัวแทนหรือลูกจ้างของโจทก์ไม่ โจทก์จึงจำเป็นที่จะต้องออกใบรับเงินค่าสุราที่ได้รับไว้ตามประมวลรัษฎากร
ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลทั้งสอง ให้ยกฟ้องโจทก์
ข้อวินิจฉัยของศาลฎีกามีว่า ตามข้อเท็จจริงปรากฏว่า ร้านขายส่งสุราต่างๆ ที่โจทก์แต่งตั้งขึ้นนั้น มีอยู่ ๒ ประเภท คือ
(๑) ร้านที่โจทก์ดำเนินการเอง เช่น ร้านสาขาอำเภอเมืองสงขลาและร้านสาขาอำเภอหาดใหญ่ เป็นต้น
(๒) ร้านที่โจทก์ตั้งคนอื่นเป็นผู้ดำเนินการ คือ ๗ ร้าน ที่เป็นความกันอยู่นี้
สำหรับร้านประเภท (๑) เป็นร้านที่โจทก์ตั้งคนของโจทก์เข้าดำเนินการเองทั้งสิ้น โจทก์ระบุโดยแจ้งชัดในแบบ ภ.ง.ด. ๕ ว่า เป็นร้านสาขาของโจทก์ ทรัพย์สินทั้งมวลก็เป็นของโจทก์ และโจทก์รับรองในบัญชีงบดุลว่า เป็นรายได้จากร้านสาขาของโจทก์เอง ฝ่ายจำเลยซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ ในเรื่องภาษีอากรก็ยอมรับว่า เป็นเรื่องในกิจการของบริษัทโจทก์เอง และมิได้เรียกร้องหรือสั่งให้โจทก์ต้องออกใบรับเงินหรือเสียค่าอากรประการใดเลย
ส่วนร้านประเภท (๒) ที่เกี่ยวข้องฟ้องร้องกันอยู่นี้ พฤติการณ์ระหว่างโจทก์กับเจ้าของร้านขายส่งสุราเหล่านี้ ผิดแผกแตกต่างกับร้านประเภท (๑) หลายประการ กล่าวคือ เจ้าของร้านขายส่งสุราเหล่านี้เป็นคนอื่น มิได้มีอะไรเกี่ยวพันกันแม้ในฐานะลูกจ้างกับนายจ้างก็มิได้มีปรากฏ หลายรายต้องวางเงินประกันไว้ต่อโจทก์ ซึ่งบางรายต้องวางเงินประกันไว้ก่อนถึง ๘๐,๐๐๐ บาท ก็มี ประการสำคัญที่สุดก็คือ สุราที่ส่งไปให้ร้านขายส่งสุราเหล่านี้ โจทก์ถือว่า เป็นการจำหน่ายเสร็จเด็ดขาดจากโจทก์ไปแล้วทั้งสิ้น มิใช่ทรัพย์ของโจทก์อีกต่อไป บัญชีงบดุลก็มิได้แสดงว่าเป็นทรัพย์ของโจทก์อย่างเช่นร้านประเภท(๑) นั้นเลย พฤติการณ์ทั้งมวลประกอบกันแสดงชัดว่า โจทก์ได้ขายขาดสุราให้แก่ร้านขายส่งสุราเหล่านี้ไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องของตัวการกับตัวแทนหรือลูกจ้างกับนายจ้างดังข้ออ้างของโจทก์
ฎีกาที่ ๘๗/๒๔๙๕ ซึ่งโจทก์อ้างมานั้น ศาลฎีการับฟังข้อเท็จจริงว่าเป็นเรื่องตัวแทนหรือลูกจ้างของกันและกัน ซึ่งผิดกับข้อเท็จจริงในคดีเรื่องนี้ จึงไม่สนับสนุนคดีของโจทก์