แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยไม่มีหนังสือสัญญาเช่า และข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยการเช่าจาก ป. ญาติของโจทก์ หรือโจทก์ที่ 1 เชิด ป.เป็นตัวแทน ดังที่จำเลยต่อสู้ การที่จำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยไม่มีสิทธิตามกฎหมายจึงเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ที่ 1ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์และโจทก์ที่ 2 ผู้มีสิทธิเช่าที่ดินพิพาทโจทก์ทั้งสองย่อมฟ้องขับไล่จำเลยผู้กระทำละเมิดได้โดยไม่ต้องบอกกล่าว และไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 566
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 6476 โจทก์ที่ 2 จดทะเบียนการเช่าที่ดินดังกล่าวจากโจทก์ที่ 1 จำเลยทั้งสองเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาท ทำให้โจทก์ทั้งสองเสียหายโจทก์ทั้งสองบอกกล่าวแล้ว จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 6476 พร้อมทั้งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินพิพาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายเดือนละ 30,000 บาท
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 เช่าที่ดินพิพาทของโจทก์ที่ 1 จากผู้มีชื่อก่อนโจทก์ที่ 2 และจำเลยที่ 1ค้าขายตลอดมา โดยโจทก์ทั้งสองไม่ได้คัดค้าน ที่ดินดังกล่าวเป็นทางเดินเข้าออกตลาดบางลำภู โจทก์ทั้งสองไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 ออกจากที่เช่า และค่าเสียหายที่โจทก์ทั้งสองเรียกสูงเกินไป ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ระหว่างพิจารณา นางผุสดี เจนภาษา ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมพร้อมทั้งบริวารออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 6476 ห้ามจำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเดือนละ 15,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบที่ดินพิพาทคืนโจทก์ทั้งสอง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ที่ 1 สิ้นพระชนม์หม่อมไฉไล ยุคล คู่สมรสและผู้จัดการมรดกของโจทก์ที่ 1 โดยพินัยกรรมยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์อนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ที่ 1เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 43 เมื่อวันที่ 25มีนาคม 2526 โจทก์ที่ 2 ได้จดทะเบียนเช่าที่ดินโฉนดดังกล่าวจากโจทก์ที่ 1 มีกำหนดระยะเวลา 21 ปี ต่อมาโจทก์ที่ 1 ได้จดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินโฉนดดังกล่าวออกเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 6476 เนื้อที่ประมาณ 6 ตารางวา ซึ่งเป็นที่ดินพิพาทมีลักษณะเป็นช่องทางเดินระหว่างอาคารพาณิชย์เลขที่ 222 กับเลขที่ 224 จำเลยทั้งสองตั้งแผงขายสินค้าอยู่ในที่ดินพิพาท
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่าก่อนฟ้องโจทก์ทั้งสองต้องบอกกล่าวหรือไม่ จำเลยที่ 1 ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยทั้งสองอยู่ในที่ดินพิพาทโดยไม่มีหนังสือสัญญาเช่า และข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 อาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยการเช่าจากนายปิงญาติของโจทก์ที่ 1 หรือโจทก์ที่ 1 เชิด นายปิง เป็นตัวแทน การที่จำเลยทั้งสองอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยไม่มีสิทธิตามกฎหมายได้ชื่อว่าอยู่โดยละเมิดสิทธิของโจทก์ที่ 1 ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ และโจทก์ที่ 2ผู้มีสิทธิเช่าที่ดินพิพาท โจทก์ทั้งสองย่อมฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองผู้กระทำละเมิดได้โดยไม่ต้องบอกกล่าว และหาจำต้องบอกกล่าวล่วงหน้า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 566ซึ่งอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะเช่าทรัพย์ดังที่จำเลยที่ 1 กล่าวอ้างมาในฎีกาไม่
พิพากษายืน