คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 93/2529

แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยพาผู้เสียหายซึ่งมีอายุ16ปีเศษและเป็นน้องสาวของภริยาโดยพฤตินัยของจำเลยไปอยู่กินฉันสามีภริยากันจนมีบุตรด้วยกันหนึ่งคนโดยก่อนเกิดเหตุจำเลยได้เลิกเป็นสามีภริยากับพี่สาวผู้เสียหายเป็นเวลาหลายเดือนแล้วแสดงว่าจำเลยพาผู้เสียหายไปโดยตั้งใจจะเลี้ยงดูเป็นภริยาจริงไม่เป็นการพรากไปเพื่อการอนาจาร.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้พรากผู้เสียหายอายุ 16 ปี 7 เดือน ไปจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารขอให้ลงโทษ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าขณะเกิดเหตุ นางสาวอุดมพร จันทร์ทองอายุ 16 ปี 7 เดือน ก่อนเกิดเหตุประมาณ 8 ปี จำเลยได้อยู่กินฉันสามีภริยากับนางอุไร จันทร์ทองพี่สาวของนางสาวอุดมพร โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันและมีบุตรด้วยกัน 1 คน วันเกิดเหตุนางสาวอุดมพรได้ตามจำเลยไปอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยที่บ้านมารดาของจำเลยและจำเลยไม่ได้มาเกี่ยวข้องอยู่กินฉันสามีภริยากับนางอุไรอีก ปัญหาจึงมีว่าจำเลยได้พรากนางสาวอุดมพรไปจากนายรื่น นางละม่อม จันทร์ทองบิดามารดาเพื่อการอนาจารหรือไม่ พยานโจทก์มีนายรื่น จันทร์ทองเบิกความว่าวันเกิดเหตุจำเลยยังอยู่กินกันกับนางอุไร จันทร์ทองภริยา และนางอุไร จันทร์ทอง เบิกความว่าวันเกิดเหตุ เวลาเช้าจำเลยบอกว่าจะไปบ้านมารดาแสดงว่าจำเลยยังอยู่กินฉันสามีภริยากับนางอุไร แต่นางสาวอุดมพร จันทร์ทอง เบิกความว่าจำเลยไม่ได้อยู่กินกับนางอุไร ตั้งแต่เดือนมกราคม 2526 เจือสมกับคำเบิกความของจำเลยว่าไม่ได้อยู่กินกับนางอุไร โดยจำเลยแยกไปอยู่กับมารดาตั้งแต่ต้นปีพ.ศ. 2526 และเมื่อจำเลยพรากนางสาวอุดมพรไปแล้ว จำเลยไม่ได้มาเกี่ยวข้องอยู่กินเป็นสามีภริยากับนางอุไร ไม่ปรากฏว่าจำเลยกับนางอุไรได้มีการพูดกันถึงเรื่องที่จะแยกกันหรือจะเลิกเป็นสามีภริยากันเลย ศาลฎีกาจึงเชื่อว่าจำเลยได้เลิกเป็นสามีภริยากับนางอุไรมาแต่ก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุจำเลยจึงไม่มีภริยา จำเลยได้พานางสาวอุดมพรไปอยู่กินฉันสามีภริยากันที่บ้านมารดาจำเลยตลอดมานางสาวอุดมพรเบิกความเป็นพยานเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2526 ก็ว่าตั้งแต่อยู่กินกับจำเลยจำเลยรักใคร่นางสาวอุดมพรดี และนางสาวอุดมพรมีครรภ์กับจำเลยเกือบ 3 เดือนแล้วต่อมาวันที่ 2 มกราคม 2527นางสาวอุดมพรได้คลอดบุตร โดยมีจำเลยเป็นบิดาตามสูติบัตรที่จำเลยอ้างเป็นพยานในระหว่างพิจารณาคดีของศาลฎีกา แสดงว่าจำเลยพานางสาวอุดมพรไปโดยตั้งใจจะพาไปเลี้ยงดูเป็นภริยาจริงจังจึงไม่เป็นการพรากนางสาวอุดมพรผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share