แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีสองสำนวนนี้ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน โดยศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเหตุที่รถชนกันเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของคนขับรถของโจทก์ที่ 2 ที่ 3 และจำเลยที่ 2 ข้อที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่าเหตุที่รถชนกันเป็นเพราะความประมาทของคนขับรถโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ฝ่ายเดียวนั้น เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อคดีสำหรับโจทก์ที่ 1 มีทุนทรัพย์แต่ละสำนวนไม่เกินสองหมื่นบาทจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยถึงแม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
ย่อยาว
คดีสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณารวมกัน โดยเรียกบริษัทร.ส.พ. ประกันภัย จำกัด เป็นโจทก์ที่ 1 ห้างหุ้นส่วนจำกัดพิชัยพาณิชย์เป็นโจทก์ที่ 2 นายวัลลภ ตันตยานุวัตร เป็นโจทก์ที่ 3 เรียกกองทัพบกเป็นจำเลยที่ 1 สิบเอกเทวฤทธิ์ กิมานันท์ เป็นจำเลยที่ 2
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องว่า โจทก์ที่ 2 เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก.จ. 06123 โจทก์ที่ 3 เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกคันหมายเลข น.ฐ.18035 โจทก์ที่ 1 รับประกันรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก.จ.06123 และคันหมายเลขทะเบียน น.ฐ. 18035ประกันภัยแบบชดใช้ค่าเสียหายโดยสิ้นเชิง ยกเว้นค่าเสื่อมสภาพเนื่องจากการชน และค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถระหว่างซ่อม กับมีเงื่อนไขว่าผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบค่าซ่อมรถยนต์ 500 บาท แรกทุกครั้งที่เกิดชน จำเลยที่ 1 เป็นนายจ้างจำเลยที่ 2 และเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถตรากงจักรคันหมายเลข 41267 จำเลยที่ 2 ได้ขับรถของจำเลยที่ 1บรรทุกรถแทรกเตอร์จากจังหวัดนครปฐมโฉมหน้าไปทางจังหวัดราชบุรีโดยขับด้วยความประมาทกล่าวคือ ขับเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดและขับล้ำเส้นกึ่งกลางถนนเป็นเหตุให้ใบมีดของรถแทรกเตอร์ชนถูกรถของโจทก์ที่ 2 แล้วรถตรากงจักรเสียหลักแล่นล้ำเส้นกึ่งกลางถนนพุ่งเข้าชนรถโจทก์ที่ 3 ทำให้รถโจทก์ที่ 2 ที่ 3 เสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหาย
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การว่าจำเลยที่ 2 ขับรถตรากงจักรของจำเลยที่ 1ไปด้วยอัตราความเร็ว 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยขับชิดขอบทางด้านซ้ายเปิดโคมไฟหน้าด้วยแสงไฟต่ำและด้านข้างมีไฟส่องสว่างอีก 2 ดวง รถของโจทก์ที่ 2 ที่ 3แล่นสวนมาด้วยความเร็วสูง ในลักษณะคันหลังพยายามจะแซงคันหน้าแต่คันหน้าไม่ยอมให้แซง โดยเร่งความเร็วและแล่นล้ำเส้นกึ่งกลางถนนเป็นการประมาท ทำให้เกิดเฉี่ยวชนกับรถของจำเลย ความเสียหายเกิดขึ้นเพราะความประมาทของฝ่ายโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เหตุที่รถชนกันเพราะความประมาทเลินเล่อของคนขับรถของโจทก์ที่ 2 ที่ 3 กับจำเลยที่ 2 พิพาษาให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามตามส่วนของแต่ละคน
จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เหตุที่รถชนกันเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของคนขับรถของโจทก์ที่ 2 ที่ 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นฟังว่าเหตุที่รถชนกันเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของคนขับรถของโจทก์ที่ 2 ที่ 3 และจำเลยที่ 2 ข้อที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่าเหตุที่รถชนกันเป็นเพราะความประมาทของคนขับรถโจทก์ที่ 2 ที่ 3 ฝ่ายเดียวนั้นเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงคดีสำหรับโจทก์ที่ 1มีทุนทรัพย์แต่ละสำนวนไม่เกินสองหมื่นบาท จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัย ถึงแม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์โดยชอบ จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 7เมื่อโจทก์ที่ 1 ฎีกาในข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยและสมควรแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า เฉพาะโจทก์ที่ 1 ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์