แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หลังจากจำเลยและพวกวิ่งหลบหนีเข้าบ้านแล้วประมาณ 10 นาทีจำเลยจึงวิ่งขึ้นไปบนบ้านของ ม. และนำอาวุธปืนออกมายืนหน้าบ้านเพื่อจะขู่กลุ่มของผู้เสียหายให้กลับไป เมื่อผู้เสียหายถือมีดดาบและขวดจะเข้าทำร้ายจำเลยห่างประมาณ 3 เมตร จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงกลุ่มของผู้เสียหาย พฤติการณ์ของจำเลย เช่นนี้แสดงว่าจำเลยสมัครใจทะเลาะวิวาทกับกลุ่มของผู้เสียหาย เพราะขณะจำเลยกับพวกวิ่งหลบหนีเข้าบ้าน ภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายหมดสิ้นไปแล้ว หากจำเลยไม่ประสงค์จะทะเลาะวิวาทอีกต่อไปจำเลยก็ไม่น่าจะนำอาวุธปืนออกมายืนอยู่หน้าบ้าน อันเป็นการท้าทายกลุ่มของผู้เสียหายซึ่งเป็นวัยรุ่น จำเลยย่อมไม่อาจยกเอาการป้องกันตัวขึ้นมาอ้างเพื่อให้การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80,91, 288 และ 371
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคแรก,72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80,371 และ 91 ขณะกระทำความผิด จำเลยอายุ 16 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ฐานมีอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครอง จำคุก 3 เดือน ฐานพาอาวุธปืนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จำคุก 1 เดือน ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จำคุก5 ปี รวมจำคุก 5 ปี 4 เดือน คำให้การรับสารภาพและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากคำเบิกความของจำเลยและนายทัศนัยว่าหลังจากจำเลยและพวกวิ่งหลบหนีเข้าบ้านแล้วประมาณ 10 นาที จำเลยวิ่งขึ้นไปบนบ้านของนายมีและนำอาวุธปืนออกมายืนหน้าบ้านเพื่อจะขู่กลุ่มวัยรุ่นให้กลับไป นายจักรกฤษณ์ถือมีดดาบและขวดจะเข้าทำร้ายจำเลยห่างประมาณ 3 เมตร จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงกลุ่มวัยรุ่น 1 นัด พฤติการณ์ของจำเลยเช่นนี้แสดงว่าจำเลยสมัครใจทะเลาะวิวาทกับผู้ตาย เพราะขณะจำเลยกับพวกวิ่งหลบหนีเข้าบ้านถือว่าภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายหมดสิ้นไปแล้ว หากจำเลยไม่ประสงค์จะทะเลาะวิวาทอีกต่อไป จำเลยไม่น่าจะนำอาวุธปืนออกมายืนอยู่หน้าอันเป็นการท้าทายกลุ่มของผู้เสียหาย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยสมัครใจเข้าทะเลาะวิวาทกับกลุ่มของผู้เสียหาย จำเลยย่อมไม่อาจยกเอาการป้องกันตัวขึ้นมาอ้างเพื่อให้การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายได้ การที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงผู้เสียหายทั้งสาม 1 นัด เป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่า จำเลยลงมือกระทำไปโดยตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล เพราะกระสุนปืนไม่ถูกอวัยวะสำคัญของนายมนัสและนายลิ ส่วนนายจักรกฤษณ์กระสุนปืนพลาดไปจึงไม่ได้รับบาดเจ็บผู้เสียหายทั้งสามจึงไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสามตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ส่วนข้อหาฐานมีและพาอาวุธปืนนั้น เมื่อได้ความจากคำของประจักษ์พยานโจทก์ทั้ง 3 ประกอบกับคำของจำเลยเองว่า จำเลยได้พาอาวุธปืนแก๊ปเดี่ยวยาว 1 กระบอก จากบ้านของนายมีและเดินมาตามทางโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับอนุญาตให้มีและพาวุธปืนติดตัวจำเลยจึงต้องมีความผิดในข้อหาฐานมีและพาอาวุธปืนตามฟ้อง ซึ่งความผิดทั้งสองฐานนี้เป็นความผิดสองกรรมศาลชั้นต้นเรียงกระทงลงโทษ เมื่อลดโทษแล้วคงจำคุก 2 เดือน ชอบแล้ว
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น