คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 928/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษาโจทก์ย่อมนำยึดสินบริคณห์ ซึ่งจำเลยมีส่วนร่วมอยู่ด้วย เพื่อขอให้ขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์ได้ ในกรณีเช่นนี้ ผู้ร้องซึ่งเป็นสามีจำเลยจะมาร้องขัดทรัพย์หาได้ไม่ เมื่อผู้ร้องถือว่าตนเป็นเจ้าของร่วมในทรัพย์ที่ถูกยึดรายนี้ ก็ชอบที่จะร้องขอต่อศาลให้กันส่วนได้ของตนออก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลย ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยแก่โจทก์รวม ๘๗๕๐ บาท จำเลยไม่ชำระ โจทก์นำยึดเรือนปั้นหยา ๒ หลัง ราคาประมาณ ๔,๐๐๐ บาท โดยอ้างว่าเป็นของจำเลย
ผู้ร้องคัดค้านว่า ไม่ใช่เรือนของจำเลย แต่เป็นสินบริคณห์ระหว่างผู้ร้องกับจำเลย ผู้ร้องเป็นสามีจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยทำสัญญากู้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ร้อง หนี้รายนี้จึงไม่ผูกพันสินบริคณห์ จอให้ศาลงดการขายและถอนการยึด
ศาลชั้นต้นฟังว่า เรือนพิพาทเป็นสินบริคณห์จริง ผู้ร้องได้ให้ความยินยอมโดยปริยายแล้ว หนี้จึงผูกพันสินบริคณห์ การกู้เงินรายนี้เอามาใช้ทำนาร่วมกัน ถือว่าเป็นหนี้ร่วมระหว่างผู้ร้องกับจำเลย จึงให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า หนี้รายนี้ไม่ใช่หนี้ร่วม โจทก์นำยึดทรัพย์รายนี้ไม่ได้ หากส่วนของจำเลยในสินบริคณห์นี้ต้องรับผิดในการชำระหนี้ต่อโจทก์ประกาดรใด โจทก์จะนำยึดเพื่อดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาได้ ก็ต้องร้องขอต่อศาลให้แยกสินบริคณห์เสียก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๔๘๓ พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ถอนการยึดเรือนรายนี้
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ทรัพย์รายที่ถูกยึดนี้เป็นสินบริคณห์ ซึ่งจำเลยมีส่วนร่วมอยู่ด้วย โจทก์ย่อมนำยึดเพื่อขอให้ขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์ได้ เพราะหนี้รายนี้ จำเลยซึ่งเป็นภริยาผู้ร้องเป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาอยู่แล้ว ในกรณีเช่นนี้ไม่ชอบที่ผู้ร้องจะมายืนคำร้องขัดทรัพย์ เมื่อผู้ร้องถือว่าตนเป็นเจ้าของร่วมในทรัพย์ที่ถูกยึดรายนี้ ก็ชอบที่จะร้องขอต่อศาลให้กันส่วนได้ของตนออก
พิพากษากลับศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำสั่งศาลชั้นต้น

Share