คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 925/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องของจำเลยที่ให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา226จำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าว คดีนี้สภาพแห่งข้อหาของโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องบังคับจำเลยตามสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาจำนองที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยแต่ฟ้องแย้งของจำเลยในส่วนที่ขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยกับบริษัทด. และสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยกับร. และก. เป็นเรื่องที่จำเลยกล่าวอ้างขึ้นมาใหม่ไม่เกี่ยวกับสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาจำนองที่ดินตามฟ้องทั้งเป็นคำฟ้องแย้งที่มีคำขอบังคับต่อบุคคลภายนอกจึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมจึงรับฟ้องแย้งในส่วนนี้ของจำเลยไว้พิจารณาในคดีนี้ไม่ได้

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2กู้ยืมเงินโจทก์ 1,015,000 บาท จำเลยที่ 3 วางเงินฝากจำนวน215,000 บาท ไว้เป็นประกัน และจำเลยที่ 1 และที่ 2 จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 3232 และ 3045 ตำบลบางอ้อ อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก เฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นประกันด้วย ต่อมาจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผิดสัญญา โจทก์บอกเลิกสัญญาและบอกกล่าวบังคับจำนอง ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ชำระเงินแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การและฟ้องแย้งว่า สัญญากู้และสัญญาจำนองเป็นโมฆะ เพราะโจทก์และบริษัทเดอะ สวีท ทามารีน ปาร์ค จำกัด สมคบกันหลอกลวงขายที่ดินสวนเกษตรมะขามหวานในโครงการเกษตร เดอะ สวีท ทามารีน ปาร์คแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 การกู้ยืมเงินและจำนองตามฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของนิติกรรมที่ทำขึ้นเกี่ยวพันกันไม่ชอบด้วยกฎหมายจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง และขอให้เพิกถอนใบจองซื้อที่ดินลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2533 สัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับบริษัทเดอะ สวีท ทามารีน ปาร์ค จำกัด สัญญาซื้อขายที่ดินฉบับลงวันที่ 13 มีนาคม 2533 ระหว่างนางสาวระวีวรรณและนางสาวเกษรกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 สัญญากู้ยืมฉบับลงวันที่ 13 มีนาคม 2533และสัญญาจำนองที่ดินพร้อมใบมอบอำนาจฉบับลงวันที่ 15 มีนาคม 2533ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ขอให้โจทก์และบริษัทเดอะ สวีท ทามารีน ปาร์ค จำกัด ร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงินจำนวน 324,150 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ยื่นคำร้องขอให้เรียกบริษัทเดอะ สวีท ทามารีน ปาร์ค จำกัด นางสาวระวีวรรณ เสขะนันท์และนางสาวเกษร เสขะนันทน์ เข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีนี้ด้วย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมไม่รับเป็นฟ้องแย้ง คงรับแต่คำให้การจำเลยที่ 1 และที 2 ให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่ขอให้เรียกบริษัทเดอะ สวีท ทามารีน ปาร์ค จำกัด นางสาวระวีวรรณ เสขะนันทน์และนางสาวเกษร เสขะนันทน์ เข้ามาในคดีนี้
จำเลย ที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รับฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1และที่ 2 ที่ขอให้เพิกถอนสัญญากู้ยืมเงิน ใบมอบอำนาจ และที่ขอให้โจทก์ใช้เงิน 324,150 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น
จำเลย ที่ 1 ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ประการแรกว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ให้เรียกบริษัทเดอะ สวีท ทามารีน ปาร์คจำกัด นางสาวระวีวรรณ เสขะนันทน์ และนางสาวเกษร เสขะนันทน์เข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีนี้ชอบหรือไม่ เห็นว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 มิได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226 จำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยดังกล่าวชอบแล้วมีปัญหาต้องพิจารณาตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ประการต่อไปว่าที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งรับฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เพียงบางส่วนนั้น ชอบหรือไม่ คดีนี้สภาพแห่งข้อหาของโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องบังคับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาจำนองที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 แต่ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในส่วนที่ขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับบริษัทเดอะ สวีท ทามารีน ปาร์ค จำกัด และสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับนางสาวระวีวรรณและนางสาวเกษรเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองกล่าวอ้างขึ้นมาใหม่ไม่เกี่ยวกับสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาจำนองที่ดินตามฟ้องทั้งเป็นคำฟ้องแย้งที่มีคำขอบังคับต่อบุคคลภายนอก จึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม จึงรับฟ้องแย้งในส่วนนี้ของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาคดีนี้ไม่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้รับฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 และที่ 2บางส่วนนั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share