คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 925/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อพ้นกำหนด 10 ปี นับจากวันที่จำเลยนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรแล้ว แต่อยู่ในระหว่างที่จำเลยถูกดำเนินคดีอาญาข้อหาสำแดงเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงอากร บริษัทจำเลยมีหนังสือถึงกรมศุลกากรโจทก์ ความว่า ‘…บริษัท ฯ มีความประสงค์จะขอทำความตกลงเพื่อให้กรม ฯ ระงับคดีในชั้นศุลกากรโดยยอมชำระภาษีอากรที่ขาด …’ ข้อความดังกล่าวมีความหมายเป็นเงื่อนไขบังคับก่อนว่าหากโจทก์ยอมระงับคดีในชั้นศุลกากรแล้วจำเลยก็จะยอมชำระค่าภาษีอากรที่ขาดให้โจทก์ เมื่อโจทก์ยืนยันให้ดำเนินคดีกับจำเลย เงื่อนไขบังคับก่อนจึงยังไม่สำเร็จ ความยินยอมชำระค่าภาษีอากรที่ขาดยังไม่เกิดขึ้น จำเลยจึงยังมิได้ละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 192 คดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ. 2512 จำเลยได้นำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร โดยยื่นใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าสำแดงอากรขาเข้า ภาษีการค้า และภาษีบำรุงเทศบาลรวม 24,853.34 บาท จำเลยยังมิได้ชำระภาษีแต่ได้วางประกันไว้และรับสินค้าไปเสร็จสิ้นแล้ว ต่อมาเจ้าหน้าที่ของโจทก์ตรวจสอบพบว่าจำเลยสำแดงราคาสินค้าผิดประเภทพิกัด จะต้องเสียภาษีอากรเพิ่มขึ้นอีกรวมเป็นเงิน 52,714.95 บาท และได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับจำเลยข้อหาสำแดงราคาสินค้าอันเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงอากร ต่อมาวันที่ 21 พฤศจิกายน 2523 จำเลยมีหนังสือขอทำความตกลงระงับคดีชั้นศุลกากร โดยยอมรับชำระหนี้ภาษีอากรที่ค้าง แล้วจำเลยก็ไม่มาพบเจ้าหน้าที่ โจทก์จึงแจ้งการประเมินไปยังจำเลยให้ชำระภาษีอากร หลังจากหักออกจากเงินประกันและรวมเงินเพิ่มแล้วเป็นเงิน 41,102.08 บาท จำเลยไม่ยอมชำระและมิได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมิน ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินภาษีอากรดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การต่อสู้หลายประการและว่าคดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว
ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2512 โดยสำแดงราคาสินค้าผิดประเภทพิกัด โจทก์จึงมีหนังสือถึงพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับจำเลย ต่อมาวันที่ 21 พฤศจิกายน 2523 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรเกินกว่า 10 ปีแล้วจำเลยได้มีหนังสือขอทำความตกลงระงับคดีชั้นศุลกากรกับโจทก์ ตามเอกสารหมาย จ.1 แล้วก็ไม่มาทำความตกลง โจทก์จึงยืนยันให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับจำเลย แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ปัญหาวินิจฉัยมีว่า การที่จำเลยมีเอกสารหมาย จ.1 ถึงโจทก์เป็นการละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความหรือไม่ เห็นว่าข้อความในเอกสารหมาย จ.1 มีว่า’…บริษท ฯ มีความประสงค์จะขอทำความตกลงเพื่อให้กรม ฯ ระงับคดีในชั้นศุลกากรโดยยอมชำระภาษีอากรที่ขาด…’ มีความหมายว่า จำเลยจะยอมชำระค่าภาษีอากรที่ขาดก็เพื่อที่จะขอให้โจทก์ระงับคดีในชั้นศุลกากร โดยมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนว่า หากโจทก์ยอมระงับคดีในชั้นศุลกากรแล้ว จำเลยก็จะยอมชำระค่าภาษีอากรที่ขาด เมื่อโจทก์ยืนยันให้ดำเนินคดีกับจำเลย เงื่อนไขบังคับก่อนจึงยังไม่สำเร็จ ความยินยอมชำระภาษีอากรที่ขาดจึงยังไม่เกิดขึ้น ดังนั้นจำเลยจึงยังมิได้ละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 192 ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว
พิพากษายืน.

Share