คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3306/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวมีชื่อ ว่านายกีเหวี้ยน แต่โจทก์แจ้งต่อพนักงานผู้จดทะเบียนสมรสว่าโจทก์ชื่อ นายสง่า แสงจันทร์ โดยมีเจตนาจะให้เจ้าพนักงานและบุคคลทั่วไปหลงผิดว่าโจทก์เป็นคนที่มีสัญชาติไทยอันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้ โจทก์จะขอให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานแก้ไขทะเบียนสมรสว่าโจทก์ชื่อ นายกีเหวี้ยน ย่อมเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตตาม ป.พ.พ. มาตรา 5 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์มีชื่อว่า นายกีเหวี้ยน บิดามารดาคือนายตาด เหวี้ยน หรือ ตัน และนางแท้ เหวี้ยน โจทก์มีหนังสือประจำตัวคนต่างด้าว เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2493 โจทก์จดทะเบียนสมรสกับนางสาวเพียนหรือเพียร ตันหรือตรั่นถิ ในการจดทะเบียนสมรสดังกล่าว โจทก์ต้องการมีชื่อและชื่อสุกลเป็นไทยว่านายสง่า แสงจันทร์ จึงแจ้งชื่อและชื่อสกุลต่อเจ้าพนักงานผู้จดทะบเียนสมรสว่า โจทก์ชื่อนายสง่า แสงจันทร์ ชื่อและชื่อสกุลของบิดาโจทก์ว่า นายตาด ตัน และแจ้งว่ามารดาโจทก์ชื่อ นางแท้แสงจันทร์ นับตั้งแต่จดทะเบียนสมรสแล้วโจทก์คงใช้ชื่อเดิมว่านายกี เหวี้ยน ตลอดมา จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งปลัดอำเภอเมืองนครพนมทำหน้าที่ผู้ช่วยนายทะเบียนหรือกระทำการแทนนายทะเบียนอำเภอเมืองนครพนม จำเลยที่ 2 ดำรงตำแหน่งนายอำเภอเมืองนครพนมเป็นนายทะเบียนอำเภอเมืองนครพนม จำเลยทั้งสองมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายเกี่ยวกับการจดทะเบียนราษฎร์และทะเบียนครอบครัว เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2525โจทก์ประสงค์จะขอแก้ชื่อโจทก์ในทะเบียนสมรสให้ถูกต้องตามความจริง จึงยื่นคำร้องต่อจำเลยทั้งสองให้แก้ไขข้อความในทะเบียนสมรสดังกล่าว จำเลยทั้งสองไม่ยอมแก้ไขทะเบียนสมรสให้ตามความประสงค์ของโจทก์เป็นการละเมิดและโต้แย้งสิทธิอันควรมีควรได้ ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งแสดงว่าโจทก์เป็นคนเดียวกับนายสง่า แสงจันทร์ให้จำเลยทั้งสองและเจ้าพนักงานผู้เกี่ยวข้องแก้ชื่อและชื่อสกุลของโจทก์และบิดามารดาโจทก์ในทะเบียนสมรสให้ถูกต้องตามฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์มิได้เป็นบุคคลคนเดียวกับนายสง่าแสงจันทร์ บิดามารดาโจทก์คือนายตาด เหวี้ยน และนางแท้ เหวี้ยนมิใช่นายตาด ตันและนางแท้ แสงจันทร์ ดังที่ปรากฏในทะเบียนสมรสโจทก์มิได้ขอแก้ชื่อและชื่อสกุลของตนและบิดามารดาตามระเบียบและกฎหมาย จำเลยทั้งสองปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายไม่เป็นการละเมิดโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง หากฟังว่าโจทก์เป็นผู้จดทะเบียนสมรสจริงตามสำเนาทะเบียนสมรสท้ายฟ้อง โจทก์ก็ได้นำความเท็จมาแจ้งต่อนายทะเบียนเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 ที่โจทก์มาขอแก้ไขเป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยไม่สุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 5 และเป็นการขอให้บังคับจำเลยทั้งสองให้แก้ทะเบียนสมรสที่เกิดขึ้นโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายให้ถูกต้องตามกฎหมายซึ่งไม่อาจกระทำได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองในฐานะนายทะเบียนและผู้ช่วยนายทะเบียนอำเภอเมืองนครพนมจัดการแก้ไขชื่อและชื่อสกุลของโจทก์และของบิดามารดาโจทก์ในทะเบียนสมรสให้ถูกต้องต่อไป
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์มีชื่อและชื่อสกุลจริงว่า นายกีเหวี้ยน บิดามารดาโจทก์มีชื่อและชื่อสกุลจริงว่า นายตาด เหวี้ยนและนางแท้ เหวี้ยน โจทก์และบิดาเข้ามาในราชอาณาจักรไทย เมื่อปี พ.ศ. 2472 ทางราชการออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้บิดามารดาโจทก์แล้ว ต่อมาวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2493 โจทก์กับนางสาวเพียน ตันจดทะเบียนสมรสกันตามเอกสารหมาย จ.6 โดยโจทก์แจ้งต่อเจ้าพนักงานจดทะเบียนสมรสว่า โจทก์ชื่อนายสง่า แสงจันทร์ เกิดที่บ้านวัดป่าตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครพนม บิดาโจทก์ชื่อ นายตาด ตันมารดาโจทก์ชื่อนางแท้ แสงจันทร์ ต่อมาในปีเดียวกันโจทก์ได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวมีชื่อว่านายกี เหวี้ยน และโจทก์ยังคงใช้ชื่อนี้ตลอดมา ข้อที่โจทก์อ้างตามฟ้องว่า โจทก์แจ้งข้อความต่อเจ้าพนักงานผู้จดทะเบียนสมรสผิดไปจากความจริงเพราะโจทก์ไม่ได้รับการศึกษาโง่เขลาเบาปัญญา รู้เท่าไม่ถึงการณ์ไม่รู้ระเบียบและกฎหมาย โดยสำคัญผิดและโดยความมักง่ายนั้นเป็นข้ออ้างที่ขัดต่อเหตุผล เพราะขณะนั้นโจทก์บรรลุนิติภาวะและรู้ผิดชอบดีแล้ว ศาลฎีกาเชื่อว่าโจทก์แจ้งข้อความให้ผิดไปจากความจริงโดยมีเจตนาจะให้เจ้าพนักงานและบุคคลทั่วไปหลงผิดว่าโจทก์เป็นคนสัญชาติไทยอันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ครั้นต่อมาเมื่อโจทก์มีเหตุขัดข้องที่เจ้าพนักงานทะเบียนสำมะโนครัวไม่รับจดทะเบียนย้ายบุตรโจทก์เข้าบ้านเลขที่ 1077 ตำบลในเมืองอำเภอเมืองนครพนม เนื่องจากความจริงปรากฏขึ้นว่าบุตรโจทก์มีบิดาชื่อนายกี เหวี้ยน มิได้มีบิดาชื่อนายสง่า แสงจันทร์โจทก์กลับจะขอให้จำเลยทั้งสองแก้ไขทะเบียนสมรสซึ่งเกิดขึ้นจากการที่โจทก์แจ้งข้อความอันไม่เป็นความจริงเสียใหม่ ย่อมเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 5”
พิพากษายืน.

Share