แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เอาที่ดินไปจดทะเบียนบุริมสิทธิ์ ซื้อขายต่อกันอำเภอโดยอ้างว่าเป็นที่สวน จับจองเบิกบุกเอาเอง ซึ่งไม่ใช่ความจริง แม้เจ้าหน้าที่อำเภอจะจดทะเบียนบุริมสิทธิ์ซื้อขายให้ก็ดี ก็ต้องถือว่ายังเป็นยังดินซึ่งยังมิได้มีบุคคลได้มาตาม ก.ม.ที่ดิน อีกนัยหนึ่งคือป่า ผู้ใดทำไม้ประเภทหวงห้ามในที่นี้โดยไม่ได้รับอนุญาต จึงต้องมีผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ 2484
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยสมคบกันทำไม้โดยจ้างวานผู้มีชื่อตัดฟันไม้สักอันเป็นไม้หวงห้าม โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ และสมคบกันชักลากไม้สักที่กล่าวออกจากป่า และแปรรูปไม่สักนั้น โดยไม่รับอนุญาต ขอให้ลงโทษ ศาลชั้นต้นและศุลอุทธรณ์ เห็นว่า ไม้สักขึ้นในที่ดินซึ่งเจ้าหน้าที่ยอมรับจดทะเบียนบุริมสิทธิ์การซื้อขาย เป็นที่ดินซึ่งจำเลยที่ ๒ ได้มา ตาม ก.ม.ที่ดิน จึงไม่เป็นป่าตามความหมายของ พ.ร.บ.ป่าไม้ ๒๔๘๔ มาตรา ๔(๑) การตัดฟันชักลากหรือแปรรูปไม้สักจึงไม่เป็นผิด ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ไม้สักที่หากันขึ้นอยู่ในที่แปลงหนึ่ง บริเวณนั้นมีไม้สักขึ้นอยู่ประมาณ ๓๐๐ ต้น ทั้งยังมีไม้แงะไม้เปา และไม้เบ็ญบรรณอย่างอื่น ๆ เป็นอันมาก พยานบุคคลก็ว่าเป็นป่า จึงเชื่อว่าเป็นป่า ส่วนที่มีการจดทะเบียนบุริมสิทธิ์การซื้อขายที่ดินนี้ ก็เพราะเจ้าหน้าที่ทางอำเภอเชื่อคำของผู้ขายว่าเป็นที่สวน ผู้ขายจับจองเบิกบุกเอาเองซึ่งไม่ใช่ความจริง จึงต้องถือว่าเป็นที่ดินซึ่งยังมิได้มีบุคคลได้มาตาม ก.ม.ที่ดิน อีกนัยหนึ่งคือป่า
ได้ความว่า จำเลยสมคบกันทำไม้ในป่านี้ คือตัดฟันไม้สัก ๑๘ ต้น และชักลากออกจากป่า จึงเป็นความผิดพิพากษากลับให้ปรับจำเลยคนละ ๒๐๐ บาท พ.ร.บ.ป่าไม้ ๒๔๘๔ มาตรา ๑๑,๓๙,๗๑,๗๓