คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9241/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยกับพวกนำธูปซึ่งมีส่วนผสมของสิ่งของบางอย่างที่ทำให้มึนเมาออกมาให้โจทก์ร่วมและ บ. ดม ทำให้โจทก์ร่วมเกิดอาการมึนศีรษะ เป็นเหตุให้อยู่ในภาวะไม่สามารถขัดขืนได้แล้วจำเลยกับพวกอีก 2 คน ได้ลักทรัพย์ของโจทก์ร่วมไป ถือได้ว่าเป็นการลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์และการพาทรัพย์นั้นไปเมื่อร่วมกระทำความผิดตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์
อาการมึนศีรษะที่โจทก์ร่วมและ บ. ได้รับหลังจากดมธูปที่จำเลยกับพวกนำมาให้ดมจนจำเลยกับพวกบอกให้ทำอะไรก็ทำให้ทุกอย่าง ทั้งหลังเกิดเหตุโจทก์ร่วมและ บ. ก็ยังอาเจียนออกมาเป็นเลือดจนแพทย์ต้องฉีดยาให้นั้น ย่อมเป็นการบ่งชี้ชัดแจ้งแล้วว่าธูปนั้นมีสารพิษซึ่งเป็นโทษแก่ร่างกายและจิตใจ หากสูดดมแล้วจะทำให้เกิดอาการมึนเมาถึงขนาดตกอยู่ในภาวะไม่สามารถขัดขืนได้ ดังนั้น โจทก์และโจทก์ร่วมจึงไม่จำเป็นต้องนำพยานผู้ชำนาญการพิเศษมาสืบอีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 25,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางบุญมี บุญส่ง ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 จำคุก 10 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนจำนวน 25,000 บาท แก่โจทก์ร่วม
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้องจำเลยกับพวกอีก 2 คน เป็นชายและหญิง ร่วมกันลักแหวนทองคำหัวพลอยหนัก 2 สลึง 1 วง ราคา 5,000 บาท และสร้อยคอทองคำหนัก 4 บาท 1 เส้น ราคา 20,000 บาท ของโจทก์ร่วมไป คดีมีปัญหาชั้นฎีกาว่า จำเลยกับพวกอีก 2 คน ร่วมกันลักทรัพย์ของโจทก์ร่วมโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมมีโจทก์ร่วมและนางบุปฟา บุญพวง บุตรสาวของโจทก์ร่วม เป็นพยานเบิกความว่า ในขณะเกิดเหตุจำเลยกับพวกฉีกกล่องธูปที่จำเลยนำมาให้นางบุปผาดมประมาณ 1 นาที แล้วนำไปให้โจทก์ร่วมดม แต่โจทก์ร่วมไม่ยอมดม พวกของจำเลยที่เป็นชายจึงชักธูปเข้าออกในกล่องหลายครั้งอยู่เหนือลม เพื่อให้โจทก์ร่วมได้กลิ่นธูปต่อมา 4 ถึง 5 นาที นางบุปผามีอาการมึนและเวียนศีรษะเห็นบ้านหมุนไปหมด ส่วนโจทก์ร่วมมีอาการมึนศีรษะคลื่นไส้จะอาเจียน จากนั้นจำเลยกับพวกที่เป็นหญิงขอเข้าห้องน้ำ ส่วนคนร้ายที่เป็นชายไปถอยรถยนต์ที่จอดอยู่มาเทียบบันไดบ้าน เมื่อออกจากห้องน้ำแล้ว จำเลยกับหญิงคนร้ายดึงมือโจทก์ร่วมจนแหวนทองคำหัวพลอยที่โจทก์ร่วมสวมนิ้วอยู่หลุดออกมา หญิงคนร้ายเก็บแหวนนั้นไว้ ระหว่างนั้นโจทก์ร่วมยังมึนศีรษะอยู่คนร้ายให้ทำอะไรก็ยอมทำให้ทุกอย่าง แล้วหญิงคนร้ายจูงมือโจทก์ร่วมขึ้นไปบนบ้านมีนางบุปผาเดินตามขึ้นไปด้วย หญิงคนร้ายพาโจทก์ร่วมเข้าไปในห้องนอน แล้วเอาลูกกุญแจที่แขวนอยู่ข้างประตูห้องส่งให้โจทก์ร่วมไปไขตู้หัวเตียง โดยสอบถามโจทก์ร่วมว่ามีเงินและสร้อยไหม โจทก์ร่วมบอกว่า ไม่มีเงินแต่มีสร้อย จากนั้นโจทก์ร่วมไขกุญแจเปิดตู้เอาสร้อยคอทองคำหนัก 4 บาท ให้แก่หญิงคนร้ายไป นางบุปผาแย่งพระที่แขวนอยู่กับสร้อยทำให้พระหลุดออกมาจากนั้นหญิงคนร้ายก็คว้าสร้อยคอทองคำลงจากบ้านพากันขึ้นรถยนต์หลบหนีไป โจทก์ร่วมและนางบุปผายืนดูอยู่เฉยๆ สักครู่มีญาติของโจทก์ร่วมมาถามว่าเป็นอะไรกันหรือ โจทก์ร่วมและนางบุปผาจึงรู้สึกตัวร้องตะโกนให้ช่วย หลังคนร้ายหลบหนีไปโจทก์ร่วมและนางบุปผามีอาการอาเจียนออกมาเป็นเลือดโจทก์ร่วมและนางบุปผาต้องไปรักษาตัวโดยแพทย์ได้ฉีดยาให้ โจทก์ร่วมทุเลาแล้วแต่ยังอาเจียนอยู่เรื่อยๆ และหูโจทก์ร่วมไม่ค่อยได้ยินซึ่งไม่เคยเป็นมาก่อน ส่วนนางบุปผาปัจจุบันหายดีแล้ว เห็นว่า พยานทั้งสองปากเบิกความสอดคล้องต้องกันในเหตุการณ์ที่จำเลยกับพวกนำธูปออกมาให้พยานทั้งสองดมจนเกิดอาการมึนศีรษะและยอมให้จำเลยกับพวกลักทรัพย์ของโจทก์ร่วมไปแต่โดยดี ซึ่งหากไม่ได้สูดดมธูปจนทำให้เกิดอาการมึนเมา โจทก์ร่วมและนางบุปผาก็คงไม่ยอมให้จำเลยกับพวกเอาทรัพย์ของโจทก์ร่วมไปเช่นนั้น จึงเชื่อว่า จำเลยกับพวกนำธูปซึ่งมีส่วนผสมของสิ่งของบางอย่างที่ทำให้มึนเมาออกมาให้โจทก์ร่วมและนางบุปผาดม การที่จำเลยกับพวกนำธูปดังกล่าวออกมาให้โจทก์ร่วมดมจนเกิดอาการมึนศีรษะเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมอยู่ในภาวะไม่สามารถขัดขืนได้ แล้วจำเลยกับพวกอีก 2 คน ได้ลักทรัพย์ของโจทก์ร่วมไป ถือได้ว่าเป็นการลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์และการพาทรัพย์นั้นไป เมื่อร่วมกระทำความผิดตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์และโจทก์ร่วมมิได้นำพยานผู้ชำนาญการพิเศษมาเบิกความยืนยันสารพิษในธูปนั้น เห็นว่า อาการมึนศีรษะที่โจทก์ร่วมและนางบุปผาได้รับหลังจากดมธูปที่จำเลยกับพวกนำมาให้ดมจนจำเลยกับพวกบอกให้ทำอะไรก็ทำให้ทุกอย่าง ทั้งหลังเกิดเหตุโจทก์ร่วมและนางบุปผาก็ยังอาเจียนออกมาเป็นเลือดจนแพทย์ต้องฉีดยาให้นั้น ย่อมเป็นการบ่งชี้ชัดแจ้งว่าธูปนั้นมีสารพิษซึ่งเป็นโทษแก่ร่างกายและจิตใจ หากสูดดมแล้วจะทำให้เกิดอาการมึนเมาถึงขนาดตกอยู่ในภาวะไม่สามารถขัดขืนได้ ดังนั้น โจทก์และโจทก์ร่วมจึงไม่จำเป็นต้องนำพยานผู้ชำนาญการพิเศษมาสืบอีก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share