คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4836/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาบัญชีเดินสะพัดไม่มีกำหนดระยะเวลา คู่สัญญาจึงบอกเลิกสัญญาและให้หักทอนบัญชีกันเสียในเวลาใด ๆ ก็ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 859 การบอกเลิกสัญญาอาจกระทำโดยแสดงเจตนาแจ้งชัดหรือมีพฤติการณ์อันถือได้ว่ามีเจตนาเลิกสัญญาโดยปริยายก็ได้ บัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์จำเลยเดินกันมาถึงเดือนกรกฎาคม2527 หลังจากนั้นในเดือนสิงหาคมและกันยายน 2527 มีแต่รายการเดบิทบัญชีตามใบแจ้งและรายการค่าดอกเบี้ยอย่างละ 1 รายการในแต่ละเดือน นอกจากนี้โจทก์หยุดคิดดอกเบี้ยทบต้นตั้งแต่วันที่ 12 กันยายน 2527 จนถึงวันที่ 24 กันยายน 2527 การที่ไม่มีการเดินสะพัดทางบัญชีต่อมาและโจทก์หยุดคิดดอกเบี้ยทบต้นซึ่งการคิดดอกเบี้ยทบต้นเป็นประเพณีในทางการค้าของธนาคารและเป็นข้อสาระสำคัญข้อหนึ่งในการที่โจทก์ยอมให้จำเลยเบิกเงินเกินบัญชีโดยสัญญาบัญชีเดินสะพัด พฤติการณ์จึงถือได้ว่าโจทก์เจตนาเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดกับจำเลยโดยปริยายแล้วตั้งแต่วันที่โจทก์หยุดคิดดอกเบี้ยทบต้นคือวันที่ 12 กันยายน 2527 แม้โจทก์จะเริ่มคิดดอกเบี้ยทบต้นใหม่ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2527 เป็นต้นมาก็ไม่ทำให้สัญญาบัญชีเดินสะพัดกลับมีผลบังคับต่อไป โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นนับแต่วันเลิกสัญญาแล้วได้อีกคงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยอย่างไม่ทบต้นเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจำนวน 787,461.83 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 447,568.42 บาทพร้อมดอกเบี้ย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญาบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์กับจำเลยไม่มีกำหนดระยะเวลา คู่สัญญาจึงบอกเลิกสัญญาและให้หักทอนบัญชีกันเสียในเวลาใด ๆ ก็ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 859 การบอกเลิกสัญญาอาจกระทำโดยแสดงเจตนาแจ้งชัดไปยังคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งหรือมีพฤติการณ์อันถือได้ว่าคู่สัญญามีเจตนาจะเลิกสัญญากันโดยปริยายก็ได้ คดีปรากฏตามบัญชีกระแสรายวันอันเป็นบัญชีเดินสะพัดเอกสารหมาย จ.17 ว่ามีการเดินสะพัดทางบัญชีถึงเดือนกรกฎาคม 2527 หลังจากนั้นในเดือนสิงหาคม 2527 มีแต่รายการเดบิทบัญชีตามใบแจ้งจำนวนเงิน 3,598.13 บาท ในวันที่10 รายการหนึ่ง และรายการค่าดอกเบี้ยจำนวนเงิน 6,330.92 ในวันที่27 อีกรายการหนึ่งเท่านั้น สำหรับในเดือนกันยายน 2527 ก็มี2 รายการ เช่นเดิมคือ รายการเดบิทบัญชีตามใบแจ้งจำนวนเงิน4,275.12 บาท ในวันที่ 12 และรายการค่าดอกเบี้ยจำนวนเงิน6,470.13 บาท ในวันที่ 24 ต่อจากนั้นไม่มีการเดินสะพัดทางบัญชีอีกประกอบกับได้ความจากนายวัยโรจน์ ศิริสวย พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจและเป็นผู้จัดการสาขาธนาคารโจทก์ว่า เมื่อหักทอนบัญชีกันในวันที่ 12 กันยายน 2527 จำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่จำนวน447,568.42 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยอย่างไม่ทบต้นในอัตราร้อยละ 19ต่อปี จนถึงวันที่ 24 กันยายน 2527 ดังนี้ การที่ไม่มีการเดินสะพัดทางบัญชีต่อมาและโจทก์หยุดคิดดอกเบี้ยทบต้นซึ่งการคิดดอกเบี้ยทบต้นเป็นประเพณีในทางการค้าของธนาคารและเป็นข้อสาระสำคัญข้อหนึ่งในการที่โจทก์ยอมให้จำเลยเบิกเงินเกินบัญชีโดยสัญญาบัญชีเดินสะพัดพฤติการณ์จึงถือได้ว่าโจทก์เจตนาเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดกับจำเลยโดยปริยายแล้วตั้งแต่วันที่โจทก์หยุดคิดดอกเบี้ยทบต้นคือวันที่ 12กันยายน 2527 แม้โจทก์จะเริ่มคิดดอกเบี้ยทบต้นใหม่ตั้งแต่วันที่25 กันยายน 2527 เป็นต้นมาก็หาทำให้สัญญาบัญชีเดินสะพัดที่เลิกกันไปแล้วกลับมีผลบังคับกันต่อไปไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าสัญญาบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์กับจำเลยเลิกกันตั้งแต่วันที่ 12 กันยายน2527 โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นเอากับจำเลยนับแต่วันเลิกสัญญาแล้วได้อีกคงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยอย่างไม่ทบต้นเท่านั้น
พิพากษายืน

Share