แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
อ. พยานโจทก์เบิกความว่า จำเลยยิงผู้ตาย แต่กลับปรากฏว่าหลังเกิดเหตุประมาณ 10 นาที เจ้าพนักงานตำรวจได้มาที่เกิดเหตุพยานไม่ได้บอกเจ้าพนักงานตำรวจ พยานอ้างว่าเพราะกลัวคนร้ายจะมาทำร้ายพยาน แต่กับ ท. พี่ของผู้ตายพยานก็ไม่ได้บอกว่าใครเป็นคนร้าย พยานเป็นคนบอก ท. ทันทีที่เกิดเหตุว่าผู้ตายถูกยิงพยานไม่น่าจะเกิดความกลัวจนไม่กล้าบอกชื่อจำเลยต่อ ท. การที่พยานกลับไปภูมิลำเนาและญาติของผู้ตายไปตามให้มาเป็นพยานก็เป็นเรื่องผิดปกติ เพราะญาติของผู้ตายรู้ได้อย่างไรว่าพยานจำคนร้ายได้ในเมื่อพยานไม่ได้บอกใครไว้เลยว่า พยานจำคนร้ายได้ นอกจากนี้คนงานที่อยู่ด้วยในที่เกิดเหตุคือ ส.เบิกความว่าส. กับพวกอีก 3 คน ไม่มีใครจำหน้าคนร้ายได้ พ.เบิกความว่าพ.อ.และลูกจ้างคนอื่นไม่มีใครจำหน้าคนร้ายได้ จึงทำให้น่าสงสัยว่าอ. จำคนร้ายได้แน่นอนหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,289(4), 371, 33, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7,8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และริบของกลาง
จำเลยไม่ได้ให้การ ถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4), 33 ลงโทษประหารชีวิต ริบของกลาง สำหรับคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ แต่ให้ริบของกลาง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องโจทก์หรือไม่ โจทก์มีประจักษ์พยาน คือนายองอาจ ศิลารัตน์ เบิกความว่าขณะที่พยานและคนงานอีก 3 คนกำลังล้างและต้มหัวสุกรอยู่ คนร้ายได้เดินมาทางหลังพยาน พยานได้หันไปดู คนร้ายสวมถุงมือดำทั้งสองข้าง สวมหมวกแก๊ปสีดำ คนร้ายคือจำเลยนี้ชักปืนพกจากเอวบริเวณด้านหน้าแล้วจ่อยิงผู้ตาย1 นัด พยานกับคนงานตกใจวิ่งหนีเข้าบ้าน พยานหันมามองเห็นจำเลยเดินหนีไปทางทิศตะวันตก คำของนายองอาจรับฟังได้เพียงใด เพราะประมาณ 10 นาทีต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจได้มาที่เกิดเหตุ พยานไม่ได้บอกเจ้าพนักงานตำรวจว่า จำเลยเป็นคนยิงผู้ตาย เหตุที่ไม่ได้บอกเจ้าพนักงานตำรวจ พยานอ้างว่าเพราะกลัวคนร้ายจะมาทำร้ายพยานแต่กับนางทองพิมพ์พี่ของผู้ตายพยานก็ไม่ได้บอกว่าใครเป็นคนร้ายพยานเป็นคนบอกนางทองพิมพ์ทันทีที่เกิดเหตุว่าผู้ตายถูกยิงพยานไม่น่าจะเกิดความกลัวจนไม่กล้าบอกชื่อจำเลยต่อนางทองพิมพ์การที่พยานกลับไปภูมิลำเนาและญาติของผู้ตายไปตามให้มาเป็นพยานก็เป็นเรื่องผิดปกติเพราะญาติของผู้ตายรู้ได้อย่างไรว่าพยานจำคนร้ายได้ในเมื่อพยานไม่ได้บอกใครไว้เลยว่า พยานจำคนร้ายได้ นอกจากนี้คนงานที่อยู่ด้วยในที่เกิดเหตุ คือนายสมหมาย บรรหาร เบิกความว่านายสมหมายกับพวกอีก 3 คน ไม่มีใครจำหน้าคนร้ายได้ นายไพบูลย์ลินทะจะกะ เบิกความว่า นายไพบูลย์ นายองอาจและลูกจ้างคนอื่นไม่มีใครจำคนร้ายได้ เมื่อพยานซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุในขณะเกิดเหตุเบิกความแตกต่างกันเช่นนี้ จึงทำให้น่าสงสัยว่านายองอาจจำคนร้ายได้แน่นอนหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย…”
พิพากษายืน.