แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยร่วมกันทำละเมิด โดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 ร่วมทุจริตกับจำเลยที่ 1 ทำให้โจทก์เสียหาย ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมทุจริตกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ก็ไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยเกินเลยไปว่า จำเลยที่ 2 ประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์เสียหาย จึงเป็นการพิพากาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคล ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ ทำงานอยู่กับโจทก์ในหน้าที่ผุ้ช่วยผุ้จัดการและสมุหบัญชีการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นหน่วยงานของโจทก์ จำเลยที่ ๔ เป็นนิติบุคคลและเป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ โดยจำเลยที่ ๒ ทำหน้าที่ผู้ช่วยผู้จัดการ จำเลยที่ ๓ ทำหน้าที่ผู้จัดการธนาคารเชียทรัสต์ จำกัด สาขาจังหวัดภูเก็ต จำเลยที่ ๔ เมื่อพ.ศ. ๒๕๑๗ จำเลยที่ ๑ ได้ทำการทุจริตต่อโจทก์โดยลอบไปเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับธนาคารเอเชียทรัสต์ จำกัด สาขาจังหวัดภูเก็ต ในนามของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดภูเก็ต โดยมิได้รับอนุญาตจากโจทก์ จำเลยที่ ๒ ได้ร่วมมือกับการทุจริตของจำเลยที่ ๑ ด้วย โดยยอมให้จำเลยที่ ๑ เปิดบัญชีดังกล่าวทั้งที่มิได้มีหนังสือให้ความยินยอมจากโจทก์ และยอมให้จำเลยที่ ๑ เซ็นชื่อสั่งจ่ายถอนเงินฝากในบัญชีดังกล่าวได้โดยลำพังตนเอง จำเลยที่ ๓ ได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงในการที่ยอมให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เปิดบัญชีเงินฝากดังกล่าวได้ เป็นเหตุให้จำเลยที่ ๑ ถอนเงินของโจทก์ไปใช้จ่ายเป็นประโยชน์ส่วนตัวเป็นเงิน ๕๗๘,๙๙๖.๑๕ บาท การกระทำของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ ๔ ในฐานะนายจ้างของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ต้องรับผิดร่วมด้วย ขอให้จำเลยทั้งสี่ชำระเงินจำนวน ๕๗๘,๙๙๖.๑๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันโจทก์ทราบความละเมิดจนถึงวันฟ้อง ๓๖,๑๘๗ บาท และดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวของต้นเงิน ๕๗๘,๙๙๖.๑๕ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ให้การทำนองเดียวกันว่าได้เปิดบัญชีให้โดยสุจริต มิได้ประมาทเลินเล่อและมิได้ร่วมมือกับจำเลยที่ ๑ ทำการทุจริตคดีโจทก์ขาดอายุความ โจทก์ใช้สิทธิไม่สุจริต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ทุจริตนำเงินของโจทก์ไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวจำนวน ๕๗๘,๙๙๖.๑๕ บาท ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๒ ได้ร่วมมือทุจริตกับจำเลยที่ ๑ ด้วย แต่การที่จำเลยที่ ๒ รับเปิดบัญชีเมื่อจำเลยที่ ๑ มาขอเปิดบัญชีในนามของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จังหวัดภูเก็ต โดยมิได้ตรวจสอบหลักฐานให้แน่ชัดเสียก่อนว่าจำเลยที่ ๑ มีอำนาจทำได้หรือไม่ เป็นความบกพร่องของจำเลยที่ ๒ ที่ไม่ปฏิบัติในสิ่งที่ควรปฏิบัติถือได้ว่าเป็นความประมาทเลินเล่อ ทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิด และจำเลยที่ ๒ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๔ การทำละเมิดในทางการที่จ้างจำเลยที่ ๔ ต้องรับผิดร่วมด้วย ส่วนจำเลยที่ ๓ ฟังไม่ได้ว่ากระทำละเมิดต่อโจทก์ไม่ต้องรับผิด คดีโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ และถือไม่ได้ว่าการที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน ๖๑๕,๑๘๓.๑๕ บาท พร้อมด้วยอัตราดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน ๕๗๘,๙๙๖.๑๕ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๓
จำเลยที่ ๒ กับจำเลยที่ ๔ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยที่ ๒ ไม่ได้ร่วมทุจริตกับจำเลยที่ ๑ การกระทำของจำเลยที่ ๒ จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยต่อไปอีกว่า เป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ ๒ ทำให้โจทก์ต้องเสียหายนั้น เป็นการวินิจฉัยนอกคำฟ้อง เมื่อจำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิด จำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๒ ก็ไม่ต้องรับผิดด้วย ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นเรื่องค่าเสียหาย คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๒ ที่ ๔ ด้วย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๒ กระทำละเมิดต่อโจทก์โดยการร่วมมือกับจำเลยที่ ๑ กระทำการทุจริตเอาเงินของโจทก์ไปประเด็นจึงมีว่าจำเลยที่ ๒ ได้ร่วมมือกับจำเลยที่ ๑ กระทำการทุจริตจริงหรือไม่ เมื่อตามข้อเท็จจริงจำเลยที่ ๒ มิได้ร่วมมือกับจำเลยที่ ๑ กระทำการทุจริตต่อโจทก์ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๒ กระทำละเมิดต่อโจทก์ การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยเกินเลยไปว่า จำเลยที่ ๒ ประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์เสียหาย เป็นการละเมิดต่อโจทก์ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จึงเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๔ ชอบแล้ว
พิพากษายืน.