คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9237/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14เป็นกฎหมายพิเศษที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนซึ่งกำหนดให้เป็นหน้าที่ของศาลที่จะต้องพิจารณาเอาความจริงให้ได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวจริงหรือไม่ การที่ห้ามนำสืบพยานบุคคลเพื่อให้มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารอันเป็นการตัดรอน มิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานย่อมขัดต่อ พระราชบัญญัติล้มละลาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กู้เงินจากโจทก์ 1,500,000 บาทตกลงคิดดอกเบี้ยตามกฎหมาย จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันเมื่อครบกำหนดจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระหนี้คิดถึงวันฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์รวมเป็นเงิน 1,659,375 บาท ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยทั้งสองล้มละลาย
จำเลยทั้งสองให้การว่า สัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 ไม่ได้กู้และรับเงินจำนวน1,500,000 บาท ตามฟ้อง โจทก์มอบเงินให้จำเลยที่ 1นำไปให้บุคคลภายนอกกู้แล้วแบ่งผลประโยชน์กัน สัญญากู้เงินตามฟ้องโจทก์นำเงินมาให้จำเลยที่ 1 ปล่อยกู้เพียง 375,000 บาทแต่โจทก์นำดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 25 ต่อเดือน เป็นเวลา 1 ปีเป็นเงิน 1,125,000 บาท รวมเข้ากับต้นเงินดังกล่าวเป็นเงิน1,500,000 บาท แล้วให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินไว้เป็นประกันผลประโยชน์ที่จะได้รับ จำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้แทนโจทก์ให้แก่นางสุพัตรา คูณเรือง ไปแล้วจำนวน 250,000 บาท ส่วนที่เหลือ125,000 บาท จำเลยที่ 1 ชำระคืนให้แก่โจทก์หมดสิ้นแล้วแต่โจทก์ไม่ยอมคืนสัญญากู้ให้ จำเลยทั้งสองไม่เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัย จำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ จำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวและสมควรพิพากษาให้ล้มละลายหรือไม่ สำหรับปัญหาว่าจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์หรือไม่นั้น พยานหลักฐานของจำเลยทั้งสองมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินกันโดยมีจำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกันตามหนังสือสัญญากู้เงินและหนังสือสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ที่โจทก์มอบเงินให้จำเลยที่ 1 นำไปให้บุคคลภายนอกกู้แล้วแบ่งผลประโยชน์กันคนละครึ่ง ที่โจทก์ฎีกาว่าแม้ในคดีล้มละลายกฎหมายจะบัญญัติให้ศาลพิจารณาเอาความจริงให้ได้ว่าจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวจริงแต่จำเลยทั้งสองก็ไม่อาจนำสืบความจริงเพื่อให้มีผลขัดหลักการที่ห้ามมิให้รับฟังการสืบพยานบุคคลเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร (หนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1) นั้น เห็นว่าจำเลยทั้งสองให้การว่าโจทก์มอบเงินให้จำเลยที่ 1นำไปให้บุคคลภายนอกกู้โดยคิดดอกเบี้ยอัตราระหว่างร้อยละ 7ถึง 25 ต่อเดือน แล้วแบ่งผลประโยชน์กัน สัญญากู้เงินตามฟ้องโจทก์นำเงินมาให้จำเลยที่ 1 ปล่อยกู้เพียง 375,000 บาท แต่โจทก์นำดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 25 ต่อเดือนเป็นเวลา 1 ปี เป็นเงิน1,125,000 บาท มารวมเข้ากับต้นเงินดังกล่าวเป็นเงิน 1,500,000 บาทแล้วให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินโดยมีจำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกันไว้เป็นหลักประกัน จำเลยที่ 1 ได้ขายบ้านพร้อมที่ดินของจำเลยที่ 1 ชำระหนี้แทนโจทก์ให้แก่นางสุพัตราไปแล้วจำนวน 250,000 บาท ส่วนที่เหลือจำเลยที่ 1 ก็ชำระคืนให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว คำให้การของจำเลยทั้งสองดังกล่าวจำเลยทั้งสองย่อมนำสืบพยานบุคคลหักล้างได้ว่า สัญญากู้เงินดังกล่าวไม่ถูกต้องสมบูรณ์ทั้งหมดไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย นอกจากนี้การที่ห้ามนำสืบพยานบุคคลเพื่อให้มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารอันเป็นการตัดรอนมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวย่อมขัดต่อพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 อันเป็นกฎหมายพิเศษที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งกำหนดให้เป็นหน้าที่ของศาลที่จะต้องพิจารณาเอาความจริงให้ได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวจริงหรือไม่ จำเลยทั้งสองชอบที่จะนำสืบพยานดังกล่าวได้ เมื่อวินิจฉัยเช่นนี้และจำเลยทั้งสองนำสืบความจริงได้ว่า โจทก์มอบเงินให้จำเลยที่ 1 นำไปให้บุคคลภายนอกกู้เพียง375,400 บาท แล้วแบ่งผลประโยชน์กันคนละครึ่ง จำเลยทั้งสองจึงไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง ปัญหาต่อไปว่าจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวและสมควรพิพากษาให้ล้มละลายหรือไม่จึงไม่จำต้องวินิจฉัย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share