คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 149/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยไม่ส่งมอบไม้ฟืนที่ซื้อขายกันตามสัญญาขอให้จำเลยคืนเงินมัดจำที่รับไปพร้อมดอกเบี้ยจำเลยมิได้ให้การว่าจำเลยได้ส่งมอบไม้ฟืนให้แก่โจทก์แล้วทั้งหมดหรือบางส่วนเพียงแต่ปฏิเสธว่าไม่เคยทำสัญญาซื้อขายไม้ฟืนกับโจทก์จึงรับฟังได้ว่าจำเลยไม่เคยส่งมอบไม้ฟืนให้แก่โจทก์เลยแต่เมื่อเป็นเพราะมีคำสั่งกระทรวงเกษตรฯให้สัมปทานทำไม้ในเขตป่าไม้ที่จำเลยจะทำไม้ฟืนส่งมอบให้โจทก์สิ้นสุดลงการชำระหนี้ของจำเลยจึงตกเป็นพ้นวิสัยเพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งอันจะโทษฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมิได้ซึ่งเป็นผลให้จำเลยหลุดพ้นจากการชำระหนี้แต่เมื่อสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาต่างตอบแทนจำเลยก็ไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ตอบแทนโจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องมัดจำคืนจากจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ว่า เมื่อ วันที่ 29 ธันวาคม 2530 จำเลย ทำ สัญญา ขาย ไม้ไม้ฟืน ทำ ถ่าน ใน ป่า ที่ จัดสรร บ้านโนนทอง ตำบล โคกตะเคียน อำเภอ กาบเชิง จังหวัด สุรินทร์ ซึ่ง จำเลย ได้รับ สัมปทาน ให้ โจทก์ จำนวน 10,000 ลูกบาศก์เมตร ใน ราคา ลูกบาศก์เมตร ละ 100 บาทรวมเป็น เงิน 1,000,000 บาท ตกลง กัน ว่า จำเลย จะ ส่งมอบ ไม้ ที่ซื้อ ขาย ให้ โจทก์ เป็น คราว ๆ ตาม จำนวน ที่ ปรากฏ ใน ใบ ภาค หลวงที่ ทางราชการ ออก ให้ เมื่อ ได้ ตรวจ ตี ตรา และ เรียกเก็บ ค่าธรรมเนียมแล้ว เริ่ม จาก เดือน มกราคม 2531 เป็นต้น ไป จนกว่า จะ ครบ โจทก์จะ ชำระ ราคา ให้ จำเลย ทุกครั้ง เมื่อ ได้ มี การ ตรวจ ตี ตรา และ จำเลยได้เสีย ค่าภาคหลวง ครบ จำนวน 1,000 ลูกบาศก์เมตร โดย โจทก์วาง มัดจำ ให้ จำเลย ไว้ เป็น เงิน 300,000 บาท ด้วย เช็ค ของธนาคาร กรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด สาขา สุรินทร์ ลงวันที่ 29ธันวาคม 2530 สั่งจ่าย เงิน 300,000 บาท ตาม เอกสาร ท้ายฟ้องหมายเลข 1 และ 2 จำเลย นำ เช็ค ดังกล่าว ไป เรียกเก็บเงิน จากธนาคาร แล้ว ต่อมา จำเลย ขอให้ โจทก์ ชำระ ราคา ล่วงหน้า ให้ อีก300,000 บาท โจทก์ ออก เช็ค ของ ธนาคาร ไทยพาณิชย์ จำกัด สาขา สุรินทร์ ให้ จำเลย ไป อีก 3 ฉบับ สั่งจ่าย เงิน ฉบับ ละ 100,000 บาทลงวันที่ 7 เมษายน 2531 วันที่ 26 เมษายน 2531 และ วันที่15 พฤษภาคม 2531 ตาม เอกสาร ท้ายฟ้อง หมายเลข 3, 4 และ 5 ซึ่งจำเลย นำ ไป เรียกเก็บเงิน เรียบร้อย แล้ว เช่นกัน แต่ จำเลย ไม่ส่ง มอบไม้ฟืน ที่ ซื้อ ขาย ให้ โจทก์ ตาม สัญญา โจทก์ ทวงถาม หลาย ครั้ง จำเลย ขอผัดผ่อน เรื่อย มา โจทก์ จึง ให้ ทนายความ มี หนังสือ บอกกล่าว จำเลย ให้ส่งมอบ ไม้ ที่ ซื้อ ขาย ทั้งหมด ให้ โจทก์ ภายใน กำหนด 30 วัน โจทก์ พร้อม ที่จะ ชำระ ราคา ส่วน ที่ เหลือ อีก 400,000 บาท ให้ จำเลย ทันที หาก จำเลยไม่ส่ง มอบ ใน กำหนด ถือว่า โจทก์ บอกเลิก สัญญา จำเลย ต้อง คืนเงิน600,000 บาท พร้อม ดอกเบี้ย ร้อยละ เจ็ด ครึ่ง ต่อ ปี นับแต่ วัน รับ เงินจาก โจทก์ ภายใน 7 วัน ตาม เอกสาร ท้ายฟ้อง หมายเลข 6 จำเลยได้รับ หนังสือ บอกกล่าว เมื่อ วันที่ 12 มิถุนายน 2532 ตาม เอกสารท้ายฟ้อง หมายเลข 7 แต่ เพิกเฉย สัญญาซื้อขาย ระหว่าง โจทก์ กับ จำเลยจึง เป็น อัน เลิกกัน จำเลย ต้อง คืนเงิน 600,000 บาท ให้ โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย ร้อยละ เจ็ด ครึ่ง ต่อ ปี นับแต่ วันที่ จำเลย ได้รับ เงิน เป็นต้น ไปรวม ดอกเบี้ย ถึง วันฟ้อง เป็น เงิน 72,965 บาท ขอให้ บังคับ จำเลยใช้ เงิน 672,965 บาท แก่ โจทก์ พร้อม ดอกเบี้ย ร้อยละ เจ็ด ครึ่ง ต่อ ปีใน ต้นเงิน 600,000 บาท นับ ถัด จาก วันฟ้อง จนกว่า จะ ชำระ เสร็จ
จำเลย ให้การ และ ฟ้องแย้ง ว่า จำเลย ไม่ได้ ตกลง ขาย ไม้ฟืน ให้โจทก์ และ รับ มัดจำ ไว้ ตาม ที่ โจทก์ ฟ้อง ความจริง เมื่อ ประมาณ ปลาย ปี2530 โจทก์ ต้องการ ไม้ฟืน ใน พื้นที่ ตำบล โคกตะเคียน อำเภอกาบเชิง จังหวัด สุรินทร์ จำนวน 10,000 ลูกบาศก์เมตร จึง มา ติดต่อ จำเลยซึ่ง มี อาชีพ ทำ ไม้ ให้ ช่วย จัดการ ให้ โจทก์ ได้ เข้า ไป ตัด ฟัน ไม้ฟืน ตาม ที่โจทก์ ต้องการ โดย จะ ให้ ค่าตอบแทน จำเลย ใน อัตรา ลูกบาศก์เมตร ละ100 บาท และ โจทก์ จะ เป็น ผู้ เสีย ค่าใช้จ่าย ค่าธรรมเนียม ต่าง ๆ ตลอดจนจะ เป็น ผู้ ตัด ฟัน นำ เจ้าพนักงาน ไป ตรวจ ตี ตรา ขอ ใบเบิก ทาง และ ทำการขนย้าย ด้วย ตนเอง จำเลย ไม่มี หน้าที่ ต้อง ส่งมอบ ไม้ฟืน ให้ โจทก์เงิน 300,000 บาท ตามเช็ค เอกสาร ท้ายฟ้อง หมายเลข 1 เป็น เงินที่ โจทก์ ชำระ ให้ จำเลย ตาม ข้อตกลง ดังกล่าว ไม่ใช่ เงินมัดจำ การ ซื้อ ขายส่วน เงิน อีก 300,000 บาท ตามเช็ค เอกสาร ท้ายฟ้อง หมายเลข 3, 4และ 5 เป็น เงิน ที่ โจทก์ ชำระ ให้ จำเลย เป็น ค่าตอบแทน การ ที่ จำเลยจัด ให้ โจทก์ ได้ เข้า ตัด ฟัน ไม้ฟืน ใน พื้นที่ อื่น จำเลย ได้ จัด ให้ โจทก์ได้ เข้า ตัด ฟืน ได้ ครบ จำนวน ตาม ข้อตกลง แล้ว โจทก์ จึง ต้อง ชำระ ค่าตอบแทนอีก 700,000 บาท ให้ จำเลย แต่ โจทก์ ไม่ชำระ และ ละเลย ไม่ ขนย้ายไม้ฟืน ออกจาก ป่า ให้ เสร็จสิ้น จน กระทั่ง ต้น ปี 2532 ได้ มี คำสั่งกระทรวงเกษตร และ สหกรณ์ เรื่อง การ ให้ สัมปทาน สิ้นสุด ลง เป็นเหตุให้ โจทก์ ไม่สามารถ ขนย้าย ไม้ฟืน จาก ป่า ได้ ซึ่ง เป็น ความผิด ของ โจทก์ เองแต่ โจทก์ กลับ หา เหตุ มี หนังสือ บอกกล่าว ให้ จำเลย ส่งมอบ ไม้ฟืน ให้โจทก์ และ บอกเลิก สัญญา ตาม เอกสาร ท้ายฟ้อง หมายเลข 6 จำเลย จึง ได้ มีหนังสือ ปฏิเสธ ข้อเรียกร้อง ของ โจทก์ และ ให้ โจทก์ ชำระ ค่าตอบแทนที่ ค้างชำระ อีก 700,000 บาท ภายใน 7 วัน เมื่อ วันที่ 29 มิถุนายน2532 โจทก์ ได้รับ เมื่อ วันที่ 30 เดือน เดียว กัน แต่ โจทก์ เพิกเฉยโจทก์ จึง ต้อง เสีย ดอกเบี้ย ให้ จำเลย ใน อัตรา ร้อยละ เจ็ด ครึ่ง ต่อ ปีนับ ตั้งแต่ วันที่ 7 กรกฎาคม 2532 เป็นต้น ไป ถึง วันฟ้อง แย้ง คิดเป็น เงิน 22,006 บาท ขอให้ ยกฟ้อง และ พิพากษา ให้ โจทก์ ใช้ เงิน722,006 บาท แก่ จำเลย พร้อม ดอกเบี้ย ร้อยละ เจ็ด ครึ่ง ต่อ ปีใน เงินต้น 700,000 บาท นับ ถัด จาก วันฟ้อง แย้ง จนกว่า จะ ชำระ เสร็จ
โจทก์ ให้การ แก้ฟ้อง แย้ง ว่า จำเลย ตกลง ขาย ไม้ฟืน ให้ โจทก์โดย รับ เงินมัดจำ และ ราคา ล่วงหน้า ไป ตาม คำฟ้อง ไม่ใช่ โจทก์ ขอให้ จำเลยจัดการ ให้ โจทก์ ได้ เข้า ตัด ฟัน ไม้ฟืน โดย ให้ เงิน เป็น ค่าตอบแทน ตามที่ จำเลย ให้การ และ ฟ้องแย้ง จำเลย ไม่สามารถ ส่งมอบ ไม้ฟืน ให้โจทก์ ได้ เพราะ ความจริง จำเลย ไม่ได้ รับ สัมปทาน แต่ จำเลยหลอกลวง โจทก์ ไม่ใช่ เพราะ โจทก์ ละเลย ไม่ทำ การ ขนย้าย ไม้ฟืนออกจาก ป่า ก่อน จะ มี คำสั่ง ปิด ป่า โจทก์ ไม่มี หน้าที่ ต้อง ชำระ เงิน อีก700,000 บาท ให้ จำเลย ขอให้ ยกฟ้อง แย้ง
ศาลชั้นต้น พิพากษา ให้ จำเลย ชำระ เงิน 300,000 บาท แก่ โจทก์พร้อม ดอกเบี้ย ร้อยละ เจ็ด ครึ่ง ต่อ ปี นับแต่ วันที่ 29 ธันวาคม 2530จนกว่า จะ ชำระ เสร็จ แต่ ดอกเบี้ย ถึง วันฟ้อง (12 ตุลาคม 2532) ต้องไม่เกิน 40,130 บาท เท่าที่ โจทก์ ขอ คำขอ อื่น ให้ยก ฟ้องแย้งของ จำเลย ให้ยก
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 7 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “ทางพิจารณา โจทก์ นำสืบ ว่า จำเลย เป็นกรรมการ ของ บริษัท สุรินทร์ทำไม้ จำกัด ผู้ได้รับ สัมปทาน ให้ เป็น ผู้ทำ ไม้ ใน ป่า จังหวัด สุรินทร์ โครงการ ไม้ กระ ยา เลย เขา แหลม -ทุ่งม น(สร. 2) ซึ่ง แบ่ง พื้นที่ เป็น 10 ตอน ตอน ละ 3 แปลง ป่า อ่างเก็บน้ำ ห้วยด่าน และ ป่า ที่ จัดสรร บ้าน โนนทอง เป็น ส่วน หนึ่ง ของ พื้นที่ ป่า ใน โครงการ ดังกล่าว โดย ป่า ที่ จัดสรร บ้าน โนนทอง อยู่ ใน เขต พื้นที่ ตอน ที่ 5 แปลง ที่ 15 การ ได้รับ สัมปทาน ของ บริษัท สุรินทร์ทำไม้ จำกัด อนุญาต ให้ ทำได้ เฉพาะ ไม้ซุง หรือ ไม้ ที่ โต ได้ ขนาด ส่วน การ ทำเศษ ไม้ ปลาย ไม้ ที่ เหลือ จาก การ ทำ ไม้ซุง ของ บริษัท สุรินทร์ทำไม้ จำกัด เป็น สิทธิ ของ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ได้สละ สิทธิ จำเลย จึง ขออนุญาต เป็น ผู้ทำ เศษ ไม้ ปลาย ไม้ ใน พื้นที่ ป่าอ่างเก็บน้ำ ห้วยด่าน ส่วน การ ทำ เศษ ไม้ ปลาย ไม้ ใน พื้นที่ ป่า ที่ จัดสรร บ้าน โนนทอง บริษัท สุรินทร์ทำไม้ จำกัด เป็น ผู้ขออนุญาต ตาม เอกสาร หมาย จ. 7 เมื่อ วันที่ 29 ธันวาคม 2530 จำเลย ทำ สัญญาขาย ไม้ฟืน ทำ ถ่าน ใน พื้นที่ ป่า ที่ จัดสรร บ้าน โนนทอง ให้ โจทก์ จำนวน 10,000 ลูกบาศก์เมตร ใน ราคา ลูกบาศก์เมตร ละ 100 บาท คิด เป็น เงิน1,000,000 บาท อ้างว่า จำเลย เป็น ผู้ได้รับ สัมปทาน โจทก์ ได้ วางเงินมัดจำ ให้ จำเลย ไว้ 300,000 บาท ตามเช็ค เอกสาร หมาย จ. 2ซึ่ง จำเลย ได้ นำ ไปเรียกเก็บเงิน แล้ว จำเลย จะ ส่งมอบ ไม้ฟืน ให้ โจทก์คราว ละ 1,000 ลูกบาศก์เมตร เริ่ม ตั้งแต่ เดือน มกราคม 2531 เป็นต้น ไปจนกว่า จะ ครบ ซึ่ง จะ ต้อง ไม่ เลย กำหนด อายุ สัมปทาน ของ จำเลย โดย จำเลยจะ เป็น ผู้ ตัด ฟัน และ ทอน ให้ เป็น ไม้ฟืน นำ มาก องรวมกัน ไว้ ให้ เรียบร้อยและ นำ เจ้าพนักงาน ป่าไม้ มาตร วจตี ตรา แล้ว ไป เสีย ค่าภาคหลวงจาก นั้น จำเลย จะ ต้อง แจ้ง ให้ โจทก์ ทราบ พร้อม กับ ทำ หนังสือมอบอำนาจให้ โจทก์ นำ ใบเสร็จ การ เสีย ค่าภาคหลวง ไป ติดต่อ ขอรับ ใบเบิก ทางเพื่อ ทำการ ขนย้าย ไม้ฟืน เคลื่อนที่ ออกจาก ป่า เมื่อ เจ้าพนักงาน ป่าไม้ออก ใบเสร็จ เสีย ค่าภาคหลวง ให้ แล้ว เพียงใด ให้ ถือว่า จำเลย ได้ ส่งมอบไม้ฟืน ให้ โจทก์ แล้ว เพียง นั้น โจทก์ จะ ทำ ชำระ ราคา ให้ จำเลย เป็น คราว ๆตาม จำนวน ไม้ฟืน ที่ จำเลย ส่งมอบ โดย ให้ จำเลย หัก เอา จาก เงินมัดจำที่ โจทก์ วาง ไว้ ครึ่ง หนึ่ง กับ โจทก์ จะ ออก เช็ค ชำระ ราคา ให้ อีก ครึ่ง หนึ่งตาม เอกสาร หมาย จ. 1 หลังจาก ทำ สัญญา แล้ว จำเลย แจ้ง แก่ โจทก์ ว่า จำเลยต้องการ เงิน อีก 300,000 บาท เพื่อ นำ ไป ใช้ จ่าย ใน การ ตัด ฟัน ไม้ฟืนให้ โจทก์ ขอให้ ชำระ ราคา ล่วงหน้า ให้ อีก 300,000 บาท โจทก์ ได้ออก เช็ค ของ ธนาคาร ไทยพาณิชย์ จำกัด สาขา สุรินทร์ ให้ จำเลย 3 ฉบับ สั่งจ่าย เงิน ฉบับ ละ 100,000 บาท โดย ลงวันที่ ล่วงหน้า เป็นวันที่ 7 เมษายน 2531 วันที่ 26 เมษายน 2531 และ วันที่ 15 พฤษภาคม2531 ตาม เอกสาร หมาย จ. 3 ถึง จ. 5 จำเลย ได้ ทำ หลักฐาน ให้ โจทก์ไว้ ตาม เอกสาร หมาย จ. 6 จำเลย ได้ นำ เช็ค ดังกล่าว ไป เรียกเก็บเงิน แล้วเมื่อ วันที่ 7 เมษายน 2531 วันที่ 26 เมษายน 2531 และ วันที่16 พฤษภาคม 2531 ตามลำดับ ถึง กำหนด ส่งมอบ ไม้ฟืน ตาม สัญญา จำเลยไม่ส่ง มอบ ให้ โจทก์ โจทก์ ทวงถาม หลาย ครั้ง เริ่ม ตั้งแต่ เดือน กุมภาพันธ์2531 เป็นต้น มา จำเลย บ่ายเบี่ยง อ้างว่า อยู่ ใน ระหว่าง ดำเนินการขออนุญาต ตัด ฟัน จน กระทั่ง ปี 2532 โจทก์ ให้ ทนายความ มี หนังสือ แจ้งให้ จำเลย ส่งมอบ ไม้ฟืน ที่ ซื้อ ขาย ทั้งหมด ให้ โจทก์ ภายใน กำหนด 30 วันหาก จำเลย ไม่ ดำเนินการ โจทก์ ขอบ อก เลิกสัญญา ตาม เอกสาร หมาย จ. 7จำเลย ได้รับ หนังสือ บอกกล่าว ของ โจทก์ แล้ว เมื่อ วันที่ 12 มิถุนายน2532 ตาม เอกสาร หมาย จ. 8 แต่ จำเลย ก็ เพิกเฉย สัญญาซื้อขาย ระหว่างโจทก์ จำเลย จึง เป็น อัน เลิกกัน จำเลย ต้อง คืนเงิน มัดจำ และ ค่า ไม้ฟืน ที่ได้รับ ไป ล่วงหน้า รวม 600,000 บาท พร้อม ดอกเบี้ย ร้อยละ เจ็ด ครึ่งต่อ ปี นับ ตั้งแต่ วันที่ จำเลย ได้รับ เงิน แต่ละ จำนวน ไป เฉพาะ ดอกเบี้ยถึง วันฟ้อง จาก เงินมัดจำ คิด เป็น เงิน 40,130 บาท และ ดอกเบี้ย จาก เงินค่า ไม้ฟืน ที่ จำเลย รับ ไป ล่วงหน้า คิด เป็น เงิน 32,835 บาท รวมเป็น เงินที่ จำเลย จะ ต้อง ชำระ ให้ โจทก์ ทั้งสิ้น 672,965 บาท
จำเลย นำสืบ ว่า จำเลย ประกอบ อาชีพ ทำ ไม้ ค้า ไม้ โดย เป็นหุ้นส่วน ของ โรง เลื่อย สหวรรณพฤกษ์ ผู้รับช่วงสิทธิ ทำ ไม้ มาจาก บริษัท สุรินทร์ทำไม้ จำกัด ทำ หน้าที่ เป็น ผู้จัดการ ฝ่าย ป่า และ เป็น กรรมการ ของ บริษัท สุรินทร์ทำไม้ จำกัด ใน ทางปฏิบัติ บริษัท สุรินทร์ทำไม้ จำกัด ผู้ได้รับ สัมปทาน จะ ไม่ เข้า ไป ทำ ไม้ ด้วย ตนเอง จะ มอบหมาย ให้ กรรมการ คนใด คนหนึ่ง รับ ช่วง เข้า ไป ดำเนินการแทน ใน นาม ของ บริษัท จำเลย เริ่ม ทำ ธุรกิจ ค้า ไม้ กับ โจทก์ มา ตั้งแต่ปี 2529 เนื่องจาก โจทก์ ต้องการ ไม้ฟืน ไป ส่ง ให้ ศูนย์ อพยพ ชาว เขมรที่ อำเภอ สังขละ แต่ โจทก์ ไม่สามารถ ติดต่อ ขออนุญาต จาก ทางราชการ เข้า ไป ตัด ฟัน เอง ได้ โจทก์ จึง ติดต่อ จำเลย ให้ จำเลย ช่วย ดำเนินการให้ โจทก์ ได้ เข้า ไป ทำ ไม้ฟืน ใน ป่า อ่างเก็บน้ำ ห้วยด่าน เพราะ ขณะ นั้น จำเลย ได้รับ อนุญาต ให้ ทำ ไม้ฟืน ใน ป่า อ่างเก็บน้ำ ห้วยด่าน และ ได้ ให้ นาย มนตรี เป็น ผู้ เข้า ไป ทำแทน แต่ นาย มนตรี ได้ เลิก ไป จำเลย จึง รับ ดำเนินการ ให้ โดย ตกลง กัน ว่า โจทก์ จะ เป็น ผู้ดำเนินการ ตัด ฟันนำ เจ้าพนักงาน ไป ตรวจ ตี ตรา และ เสีย ค่าภาคหลวง เอง และ โจทก์จะ ให้ ค่าตอบแทน จำเลย ตาม จำนวน ไม้ ที่ ทำได้ ใน อัตรา ลูกบาศก์เมตร ละ100 บาท โดย จำเลย มี หน้าที่ เพียงแต่ ติดต่อ กับ ทางราชการ เท่านั้นการ ตกลง กัน ครั้งแรก กระทำ กัน ด้วย วาจา ต่อมา โจทก์ แจ้ง แก่ จำเลย ว่าโจทก์ ต้องการ ไม้ฟืน อีก เป็น จำนวน มาก ให้ จำเลย ช่วย ดำเนินการ ให้โจทก์ ได้ เข้า ไป ทำ ไม้ฟืน ใน ป่า ที่ จัดสรร บ้าน โนนทอง ซึ่ง บริษัท สุรินทร์ทำไม้ จำกัด เป็น ผู้ได้รับ สัมปทาน จำเลย รับ ดำเนินการ ให้ ด้วย ข้อตกลง อย่างเดียว กับ การ จัด ให้ โจทก์ ได้ เข้า ไป ทำ ไม้ฟืน ใน ป่าอ่างเก็บน้ำ ห้วยด่าน ต่อมา วันที่ 29 ธันวาคม 2530 โจทก์ ได้ นำ หนังสือ สัญญา 2 ฉบับ ตาม เอกสาร หมาย จ. 1 และ ล. 1 มา ให้ จำเลย ลงลายมือชื่อ จำเลย ก็ ลงลายมือชื่อ ให้ ไป ความจริง โจทก์ จำเลย ไม่ได้ ทำการซื้อ ขาย ไม้ฟืน กัน ตาม ข้อความ ใน สัญญา ดังกล่าว เหตุ ที่ จำเลย ลง ลายมือชื่อ ให้ โจทก์ เพราะ โจทก์ บอก จำเลย ว่า เป็น สัญญาซื้อขาย สิทธิการ ทำ ไม้ และ หาก ทำ เป็น สัญญา โอนสิทธิ กัน จะ ไม่สามารถ นำ ไป แสดงต่อ เจ้าพนักงาน ป่าไม้ ได้ เพราะ ระเบียบ ของ ทางราชการ ห้าม ไว้สำหรับ เงิน 300,000 บาท ตามเช็ค เอกสาร หมาย จ. 2 โจทก์ จ่าย ให้ จำเลยใน วัน ทำ สัญญา เอกสาร หมาย จ. 1 เป็น เงิน ค่าตอบแทน ที่ โจทก์ ชำระ ให้จำเลย ตาม ข้อตกลง ไม่ใช่ เงินมัดจำ การ ซื้อ ขาย ส่วน เงิน อีก300,000 บาท ที่ โจทก์ จ่าย ให้ จำเลย ตามเช็ค เอกสาร หมาย จ. 3 ถึง จ. 5เป็น ค่าตอบแทน ที่ โจทก์ ชำระ ให้ จำเลย ตาม ข้อตกลง ใน การ ที่ จำเลยดำเนินการ ให้ โจทก์ ได้ เข้า ทำ ไม้ฟืน ใน ป่า อ่างเก็บน้ำ ห้วยด่าน ไม่เกี่ยวกับ สัญญา เอกสาร หมาย จ. 1 จำเลย ได้ ดำเนินการ ให้ โจทก์ได้ เข้า ทำ ไม้ฟืน ใน ป่า ที่ จัดสรร บ้านโนนทอง ใน นาม ของ บริษัท สุรินทร์ทำไม้ จำกัด ตาม ข้อตกลง และ โจทก์ ได้ นำ คน เข้า ไป ตัด ฟืน ใน ป่า ดังกล่าว ได้ ครบ จำนวน 10,000 ลูกบาศก์เมตร แล้ว โดย โจทก์ ได้เสีย ค่าภาคหลวง ใน นาม ของ บริษัท สุรินทร์ทำไม้ จำกัด ไว้ แล้ว 2,500 ลูกบาศก์เมตร ตาม เอกสาร หมาย ล. 15 ถึง ล. 17 ที่ เหลือโจทก์ ยัง ไม่ได้ นำ เจ้าพนักงาน ไป ตรวจ ตี ตรา และ เสีย ค่าภาคหลวงและ โจทก์ ยัง มิได้ ขนย้าย ไม้ฟืน ทั้งหมด ออกจาก ป่า อ้างว่า จะ ทำ ไม้ ใน ป่าอ่างเก็บน้ำ ห้วยด่าน ให้ เสร็จ เรียบร้อย เสีย ก่อน จน กระทั่ง เกิด อุทกภัย ทาง ภาคใต้ จำเลย ทราบ ข่าว ว่า รัฐบาล จะ ออก พระราชกำหนดปิด ป่า จำเลย จึง บอก ให้ โจทก์ ทราบ ขอให้ โจทก์ รีบ เสีย ค่าภาคหลวง ไม้ฟืนส่วน ที่ เหลือ และ จัดการ ขนย้าย ไม้ ทั้งหมด ออกจาก ป่า เสีย ก่อน ที่ จะ มีพระราชกำหนด ปิด ป่า ออก ใช้ บังคับ โจทก์ เพิกเฉย จน กระทั่ง มี คำสั่งกระทรวงเกษตร และ สหกรณ์ ให้ สัมปทาน ทำ ไม้ ของ บริษัท สุรินทร์ทำไม้ จำกัด สิ้นสุด ลงวันที่ 17 มกราคม 2532 แต่ คำสั่ง ดังกล่าว ผ่อนผัน ให้นำ ไม้ ออกจาก ป่า ได้ ภายใน 180 วัน จำเลย เตือน ให้ โจทก์ รีบ ดำเนินการอีก แต่ โจทก์ เพิกเฉย ไม้ฟืน จำนวน ดังกล่าว จึง ยัง อยู่ ใน ป่า มา จน กระทั่งปัจจุบัน หลังจาก ครบ กำหนด ผ่อนผัน แล้ว โจทก์ เคย มา ขอ เงิน ที่ เสียค่าภาคหลวง ไป คืน จาก จำเลย เพียง 50,000 บาท จำเลย ปฏิเสธและ ยัง เรียก ให้ โจทก์ ชำระ ค่าตอบแทน อีก 700,000 บาท ให้ จำเลยหลังจาก นั้น เดือน เศษ โจทก์ ได้ ให้ ทนายความ มี หนังสือ บอกกล่าว เอกสารหมาย จ. 7 มา ยัง จำเลย จำเลย จึง ให้ ทนายความ มี หนังสือ ปฏิเสธและ เรียก ให้ โจทก์ ชำระ ค่าตอบแทน อีก 700,000 บาท ภายใน กำหนด7 วัน ตาม เอกสาร หมาย ล. 8 โจทก์ ได้รับ เมื่อ วันที่ 30 มิถุนายน 2532แต่ โจทก์ ไม่ชำระ โจทก์ จึง ต้อง เสีย ดอกเบี้ย ให้ จำเลย ใน อัตรา ร้อยละเจ็ด ครึ่ง ต่อ ปี นับแต่ วันที่ 7 กรกฎาคม 2532 เป็นต้น ไป เฉพาะ ดอกเบี้ยนับ ถึง วันฟ้อง แย้ง คิด เป็น เงิน 22,006 บาท รวมเป็น เงิน ที่ โจทก์จะ ต้อง ชำระ ให้ จำเลย 722,006 บาท
พิเคราะห์ แล้ว ข้อเท็จจริง ฟังได้ ใน เบื้องต้น ว่าบริษัท สุรินทร์ทำไม้ จำกัด ได้รับ สัมปทาน ทำ ไม้หวงห้าม ธรรมดา นอกจาก ไม้สัก ใน พื้นที่ ป่า ทุก อำเภอ ของ จังหวัด สุรินทร์ ซึ่ง รวมทั้งป่า โครงการ สร. 2 ตอน 5 แปลง 15 หรือ ป่า ที่ จัดสรร บ้าน โนนทอง ของ อำเภอ กาบเชิง ที่ เกี่ยวข้อง กับ คดี นี้ ด้วย จำเลย เป็น กรรมการ ของ บริษัท สุรินทร์ทำไม้ จำกัด เมื่อ วันที่ 28 และ 29 ธันวาคม 2530โจทก์ ได้ ทำ สัญญาซื้อขาย ไม้ฟืน กับ จำเลย ตาม เอกสาร หมาย จ. 1 และ ล. 1ตามลำดับ และ ระหว่าง วันที่ 29 ธันวาคม 2530 ถึง วันที่ 15 พฤษภาคม2531 จำเลย ได้รับ เช็ค เอกสาร หมาย จ. 2 ถึง จ. 5 จาก โจทก์ และจำเลย ได้ นำ เช็ค ดังกล่าว ไป เรียกเก็บเงิน แล้ว ต่อมา วันที่ 17 มกราคม2532 รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงเกษตร และ สหกรณ์ มี คำสั่ง ให้ สัมปทานทำ ไม้ ของ บริษัท สุรินทร์ทำไม้ จำกัด สิ้นสุด ลง มี ปัญหา ต้อง วินิจฉัย ตาม ฎีกา ของ จำเลย ประการ แรก ว่า สัญญาซื้อขาย ไม้ฟืน ที่ โจทก์ กับ จำเลยทำ ขึ้น ตาม เอกสาร หมาย จ. 1 และ ล. 1 โจทก์ กับ จำเลย มี เจตนา ซื้อ ขาย ไม้ฟืนกัน หรือ เพียงแต่ จำเลย โอนสิทธิ การ ทำ ไม้ฟืน หรือ จัดการ ให้ โจทก์ได้ เข้า ตัด ฟัน ไม้ฟืน จาก ป่า ที่ บริษัท สุรินทร์ทำไม้ จำกัด ได้รับ สัมปทาน ดังกล่าว โดย มีค่า ตอบแทน โจทก์ และ นาย เกียรติศักดิ์ อัครชัยมงคล พยานโจทก์ เบิกความ ยืนยัน ว่า โจทก์ กับ จำเลย ทำ สัญญา เอกสาร หมาย จ. 1 และ ล. 1 โดย มี เจตนา ซื้อ ขาย ไม้ฟืน กัน โดย ตามสัญญา เอกสาร หมาย จ. 1 เป็น สัญญาซื้อขาย ไม้ฟืน จาก ป่า ที่ จัดสรร บ้าน โนนทอง ส่วน สัญญา เอกสาร หมาย ล. 1 เป็น สัญญาซื้อขาย ไม้ฟืน จาก อ่างเก็บน้ำ ห้วยด่าน นาย เกียรติศักดิ์ รู้เห็น ใน การ ทำ สัญญา และ ลงชื่อ เป็น พยาน ใน สัญญา ดังกล่าว ด้วย คำเบิกความ ของ โจทก์และ นาย เกียรติศักดิ์ สอดคล้อง กัน จึง มีเหตุ ผล อันควร รับฟัง เกี่ยวกับ ข้อเท็จจริง นี้ ได้ความ ตาม คำเบิกความ ของ นาย ชอบ มนประดิษฐ์ ผู้ช่วยป่าไม้ จังหวัด สุรินทร์ และ นาย ชนูด แม่นวิวัฒนกุล ป่าไม้ อำเภอ กาบเชิง พยานโจทก์ ว่า สิทธิ ใน การ ทำ ไม้ฟืน จาก เศษ ปลาย ไม้ ที่ เหลือ จาก บริษัท สุรินทร์ทำไม้ จำกัด ทำ ไม้ท่อน เป็น ของ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ถ้า องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ สละ สิทธิบุคคลอื่น จึง จะ มีสิทธิ ขอ ทำ ไม้ฟืน จาก เศษ ปลาย ไม้ ที่ เหลือ ดังกล่าวจำเลย เป็น ผู้รับ อนุญาต ให้ ทำ ไม้ฟืน จาก เศษ ปลาย ไม้ ที่ เหลือ จาก บริษัท สุรินทร์ทำไม้ จำกัด ทำ ไม้ท่อน ใน เขต อ่างเก็บน้ำ ห้วยด่าน ตาม เอกสาร หมาย ล. 10 ถึง ล. 13 ส่วน ใน เขต ป่า ที่ จัดสรร บ้าน โนนทอง บริษัท สุรินทร์ทำไม้ จำกัด เป็น ผู้ขออนุญาต ทำ ไม้ฟืน จาก เศษ ปลาย ไม้ ตาม เอกสาร หมาย ล. 7 และ บริษัท สุรินทร์ทำไม้ จำกัด ขาย และ มอบ เศษ ปลาย ไม้ ให้ แก่ จำเลย ตาม เอกสาร หมาย ล. 15 ถึง ล. 17 คำเบิกความของ นาย ชอบและนายชนูด ซึ่ง มี ใจความ ว่า ช่วง เวลา ระหว่าง โจทก์ กับ จำเลย ทำ สัญญา เอกสาร หมาย จ. 1 และ ล. 1 จำเลย เป็นผู้มีสิทธิ ทำ ไม้ฟืน ใน เขต ป่า ที่ ระบุ ใน เอกสาร หมาย จ. 1 และ ล. 1ดังกล่าว จึง สนับสนุน คำเบิกความ ของ โจทก์ และ นาย เกียรติศักดิ์ ที่ เบิกความ ว่า โจทก์ กับ จำเลย ทำ สัญญาซื้อขาย ไม้ฟืน กัน ตาม เอกสาร หมายจ. 1 และ ล. 1 ให้ มี น้ำหนัก ยิ่งขึ้น จำเลย คง มี แต่ ตัว จำเลย เบิกความ ลอย ๆว่า โจทก์ กับ จำเลย ทำ สัญญา เอกสาร หมาย จ. 1 และ ล. 1 ขึ้น โดย มี เจตนาโอนสิทธิ การ ทำ ไม้ฟืน หรือ จัดการ ให้ โจทก์ ได้ เข้า ตัด ฟัน ไม้ฟืน เท่านั้นความ ข้อ นี้ นาย สุรัตน์ คูณวัฒนพงษ์ กรรมการ ผู้จัดการ ของ บริษัท สุรินทร์ทำไม้ จำกัด พยาน จำเลย กลับ เบิกความ มี ใจความ ว่า บริษัท สุรินทร์ทำไม้ จำกัด มอบ สิทธิ การ ทำ ไม้ฟืน ใน ป่า ที่ จัดสรร บ้าน โนนทอง ให้ แก่ จำเลย พยาน เคย ทราบ จาก จำเลย ว่า จำเลย ขาย ไม้ฟืน ใน ป่า ที่ จัดสรร บ้าน โนนทอง ให้ แก่ โจทก์ คำเบิกความ ของ นาย สุรัตน์ จึง เจือสม คำเบิกความ ของ โจทก์ และ พยาน ของ โจทก์ ที่ เบิกความ ว่าสัญญา เอกสาร หมาย จ. 1 และ ล. 1 เป็น สัญญา ที่ โจทก์ กับ จำเลยตกลง ซื้อ ขาย ไม้ฟืน กัน นอกจาก นี้ ตาม หนังสือ เอกสาร หมาย ล. 15 ถึงล. 17 ที่ บริษัท สุรินทร์ทำไม้ จำกัด มอบหมาย ให้ จำเลย ไป เสีย ค่าภาคหลวง ไม้ฟืน และ รับ ใบเสร็จ เก็บ เงิน ค่าภาคหลวง ไม้ฟืน หรือถ่าน มา ขอ ใบเบิก ทาง เพื่อ ชักลาก ไม้ฟืน ออกจาก ป่า ก็ ระบุ ว่า บริษัท สุรินทร์ทำไม้ จำกัด ได้ โอน ขาย และ มอบ ไม้ฟืน ใน ป่า ที่ จัดสรร บ้าน โนนทอง ให้ แก่ จำเลย เห็น ได้ว่า จำเลย ได้ นำ ไม้ฟืน ที่ ได้รับ โอน มา จาก บริษัท สุรินทร์ทำไม้ จำกัด และ ที่ จำเลย ได้รับ อนุญาต ให้ ทำ ไม้ฟืน ใน เขต อ่างเก็บน้ำ ห้วยด่าน ดังกล่าว มา ทำ สัญญา ขาย ให้ แก่ โจทก์ ตาม เอกสาร หมาย จ. 1 และ ล. 1 โจทก์ กับ จำเลย จึง ทำ สัญญา ดังกล่าวโดย มี เจตนา ซื้อ ขาย ไม้ฟืน กัน ศาลล่าง ทั้ง สอง วินิจฉัย ต้อง กัน มา ชอบแล้วฎีกา ข้อ นี้ ของ จำเลย ฟังไม่ขึ้น
มี ปัญหา วินิจฉัย ตาม ฎีกา ของ จำเลย ต่อไป ว่า จำเลย เป็น ฝ่าย ผิดสัญญาและ ต้อง รับผิด ใช้ ค่าเสียหาย แก่ โจทก์ หรือไม่ เพียงใด เห็นว่าแม้ ตาม สัญญาซื้อขาย ไม้ฟืน ที่ โจทก์ ทำ กับ จำเลย เอกสาร หมาย จ. 1 ระบุ ว่าจำนวน ไม้ฟืน ที่ โจทก์ ซื้อ จาก จำเลย 10,000 ลูกบาศก์เมตร จำเลย จะ เริ่มส่งมอบ ให้ โจทก์ ตั้งแต่ เดือน มกราคม 2531 เป็นต้น ไป จนกว่า จะ ครบโจทก์ ชำระ ราคา ให้ แก่ จำเลย ใน วัน ทำ สัญญา 300,000 บาท ตามเช็คเอกสาร หมาย จ. 2 ที่ เหลือ โจทก์ จะ ชำระ ให้ ต่อ การ ออก ใบ ภาค หลวงไม้ฟืน ครั้ง ละ 1,000 ลูกบาศก์เมตร ทุกครั้ง ไป จนกว่า จะ ครบ จำนวนไม้ฟืน ที่ ตกลง ซื้อ ขาย กัน และ จำเลย มิได้ ให้การ ต่อสู้ ว่า จำเลย ได้ส่งมอบ ไม้ฟืน ที่ ตกลง ซื้อ ขาย กัน ให้ แก่ โจทก์ แล้ว ทั้งหมด หรือ บางส่วนเพียงแต่ ปฏิเสธ ว่า จำเลย ไม่เคย ทำ สัญญาซื้อขาย ไม้ฟืน กับ โจทก์จึง รับฟัง ได้ว่า หลังจาก ทำ สัญญาซื้อขาย ไม้ฟืน เอกสาร หมาย จ. 1กับ โจทก์ แล้ว จำเลย ไม่เคย ส่งมอบ ไม้ฟืน ให้ แก่ โจทก์ เลย แต่ เหตุที่ จำเลย ไม่สามารถ ส่งมอบ ไม้ฟืน ให้ แก่ โจทก์ เพราะ มี คำสั่งกระทรวงเกษตร และ สหกรณ์ ให้ สัมปทาน ทำ ไม้ ใน เขต ป่าไม้ ที่ จำเลยจะ ทำ ไม้ฟืน ส่งมอบ ให้ โจทก์ สิ้นสุด ลง ทำให้ การ ชำระหนี้ ที่ จำเลย จะ ส่งไม้ฟืน ให้ แก่ โจทก์ ตาม สัญญา เป็น ไป ไม่ได้ การ ชำระหนี้ ของ จำเลย จึง ตกเป็น พ้นวิสัย เพราะ เหตุ อย่างใด อย่างหนึ่ง อัน จะ โทษ ฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายใดมิได้ และ สัญญาซื้อขาย ไม้ฟืน ที่ โจทก์ ทำ กับ จำเลย เป็น สัญญาต่างตอบแทนซึ่ง คู่สัญญา มี หนี้ ที่ จะ ต้อง ชำระ ตอบแทน กัน แม้ จำเลย จะ หลุดพ้น จากการ ชำระหนี้ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 219 วรรคหนึ่งจำเลย ก็ ไม่มี สิทธิ จะ ได้รับ ชำระหนี้ ตอบแทน ตาม มาตรา 372 วรรคหนึ่งกรณี เช่นนี้ ไม่มี บท กฎหมาย ใด ให้สิทธิ จำเลย ที่ จะ ได้รับ ชำระหนี้ฝ่ายเดียว โดย ไม่ต้อง ชำระหนี้ ตอบแทน โจทก์ จึง มีสิทธิ เรียกร้อง มัดจำจำนวน 300,000 บาท ที่ ชำระ ไป แล้ว ใน วัน ทำ สัญญา คืน จาก จำเลยจึง ไม่ต้อง วินิจฉัย ฎีกา ตาม ฟ้องแย้ง ของ จำเลย อีก ศาลอุทธรณ์ ภาค 1พิพากษา มา นั้น ศาลฎีกา เห็นด้วย ใน ผล ”
พิพากษายืน

Share