คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 922/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

พนักงานหรือตัวแทนของจำเลยเป็นผู้ไปอธิบายรายละเอียด ผลประโยชน์และเงื่อนไขของกรมธรรม์ให้ ท. ฟังที่บ้านในเขตท้องที่อำเภอวังน้ำเย็น จังหวัดปราจีนบุรีอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดกบินทร์บุรีซึ่งเป็นภูมิลำเนาของท.เมื่อท. ได้รับฟังคำอธิบายแล้วจึงตกลงใจเอาประกันชีวิตกับจำเลยโดยลงลายมือชื่อในคำขอเอาประกันชีวิต ซึ่งพนักงาน ของจำเลยเป็นผู้กรอกรายละเอียดในคำขอให้ และได้พา ท.ไปตรวจสุขภาพที่คลินิก แพทย์ และได้นำคำขอเอาประกันชีวิตของ ท. พร้อมรายงานแพทย์ส่งให้สำนักงานใหญ่ของจำเลย จำเลย ตกลงรับประกันชีวิตกับ ท. มูลคดีจากการทำสัญญาประกันชีวิตเกิดที่ภูมิลำเนาของ ท. โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ศาลจังหวัดกบินทร์บุรีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(1) ในสัญญาประกันชีวิตเป็นหน้าที่ของผู้เอาประกันภัยซึ่ง การใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของตน ต้องเปิดเผยข้อความจริงให้ผู้รับประกันภัยทราบ ท. ผู้เอาประกันชีวิตป่วยเป็นวัณโรคปอด ซึ่งเป็นโรคร้ายแรงและได้รับการรักษาเกี่ยวกับโรคดังกล่าวเป็นเวลานาน แต่มิได้แจ้งข้อความจริงให้จำเลยทราบเมื่อขอเอาประกันชีวิต ซึ่งหากจำเลยทราบก็อาจเรียกเบี้ยประกันสูงขึ้นหรือไม่รับประกันชีวิตสัญญาประกันชีวิตจึงเป็นโมฆียะ ผู้รับประกันภัยย่อมมีสิทธิบอกล้างนิติกรรมได้โดยมิต้องคำนึงว่าผู้เอาประกันภัยจะถึงแก่ความตายหรือไม่ หรือตายด้วยเหตุใด เมื่อผู้เอาประกันชีวิตถึงแก่ความตายแล้วจำเลยจะบอกล้างสัญญาประกันชีวิตอันเป็นโมฆียะต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาได้เมื่อจำเลยบอกล้างสัญญาอันเป็นโมฆียะแล้วจึงไม่ต้องรับผิดใช้เงินให้โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้อง ขอให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน150,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันชีวิตดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน150,000 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยที่ศาลชั้นต้นรับมาว่า โจทก์เสนอคำฟ้องต่อศาลชั้นต้นได้หรือไม่และสัญญาประกันชีวิตตามฟ้องตกเป็นโมฆียะหรือไม่ ซึ่งในการวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238ประกอบมาตรา 247 ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงมาว่าขณะนายทวี สุวรรณเลิศ ทำคำขอประกันชีวิตกับจำเลยตามเอกสารหมาย ล.2 นายทวีมีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 439หมู่ที่ 1 ตำบลวังน้ำเย็น อำเภอวังน้ำเย็น จังหวัดปราจีนบุรีในวันทำคำขอเอาประกันชีวิต นายสมศักดิ์ อึ้งประเสริฐกับนายสุนันท์ ขำโคกกรวด พนักงานของจำเลยไปอธิบายรายละเอียดผลประโยชน์และเงื่อนไขของกรมธรรม์แบบเจริญกรุง 175ที่บ้านของนายทวี และนายสมศักดิ์เป็นผู้กรอกรายละเอียดในเอกสารหมาย ล.2 แล้วให้นายทวีลงลายมือชื่อพร้อมทั้งพานายทวีไปตรวจสุขภาพที่คลินิก นายแพทย์พงษ์ศักดิ์ซึ่งตั้งอยู่ในตลาดวังน้ำเย็น จังหวัดสระแก้ว แพทย์ได้ทำรายงานตามใบตรวจสุขภาพเอกสารหมาย ล.3 นายสมศักดิ์ลงลายมือชื่อเป็นพยานไว้ด้วย แล้วจึงส่งเอกสารดังกล่าวให้จำเลยสาขาสำนักงานใหญ่พิจารณาออกกรมธรรม์ให้นายทวี ซึ่งต่อมาจำเลยตกลงรับประกันชีวิตกับนายทวี เห็นว่านายสมศักดิ์กับนายสุนันท์พนักงานของจำเลยหรือตัวแทนของจำเลยเป็นผู้ไปอธิบายรายละเอียด ผลประโยชน์และเงื่อนไขของกรมธรรม์ให้นายทวีฟังที่บ้านของนายทวี เมื่อนายทวีได้รับฟังคำอธิบายของพนักงานจำเลยแล้วก็ตกลงใจที่จะเอาประกันชีวิตกับจำเลยพนักงานของจำเลยดังกล่าวจึงเอาคำขอเอาประกันชีวิตให้นายทวีลงลายมือชื่อ โดยนายสมศักดิ์เป็นผู้กรอกรายละเอียดในคำขอให้ จากนั้นพนักงานของจำเลยยังได้พานายทวีไปตรวจสุขภาพที่คลินิก แพทย์ซึ่งตั้งอยู่ในตลาดวังน้ำเย็น จังหวัดสระแก้ว อีกด้วย ต่อจากนั้นพนักงานของจำเลยได้นำเอาคำขอประกันชีวิตของนายทวีพร้อมด้วยรายงานแพทย์ส่งให้สำนักงานใหญ่ของจำเลย ซึ่งต่อมาจำเลยตกลงรับประกันชีวิตกับนายทวี ถือได้ว่ามูลคดีจากการทำสัญญาประกันชีวิตรายนี้เกิดที่ภูมิลำเนาของนายทวีตำบลวังน้ำเย็น อำเภอวังน้ำเย็น จังหวัดปราจีนบุรี โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ศาลจังหวัดกบินทร์บุรีคือศาลชั้นต้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(1) ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไป สัญญาประกันชีวิตตามฟ้องตกเป็นโมฆียะหรือไม่ เกี่ยวกับสัญญานี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1ฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2534 นายทวีได้เคยให้นายแพทย์สมรักษ์ จันทรา ตรวจรักษาร่างกาย จากการตรวจร่างกายประกอบกับการเอ็กซเรย์ปอดแล้ว พบว่านายทวีน่าจะเป็นโรคปอด นายแพทย์สมรักษ์ได้รักษานายทวีต่อเนื่องกันประมาณ5 เดือน แล้วนายทวีขาดการติดต่อ จนกระทั่งวันที่ 7 มีนาคม 2535นายทวีมาพบแพทย์สมรักษ์อีก มีอาการไอ หอบ นายแพทย์สมรักษ์จึงทำการตรวจรักษาและให้ยาไปรับประทาน ต่อมานายทวีได้ทำคำขอเอาประกันชีวิตโดยนายสมศักดิ์พนักงานของจำเลยเป็นผู้กรอกรายละเอียดตามเอกสารหมาย ล.2 ซึ่งคำขอดังกล่าวไม่ปรากฏว่านายทวีได้แจ้งว่า เคยเป็นวัณโรคปอดมาก่อน จำเลยจึงไม่ทราบว่านายทวีผู้เอาประกันชีวิตเคยเป็นวัณโรคปอดจนกระทั่งนายทวีถึงแก่กรรมแล้วพนักงานของจำเลยถึงได้ตรวจสอบพบว่านายทวีเคยเป็นวัณโรคปอดก่อนทำคำขอเอาประกันชีวิตกับจำเลย เห็นว่า ในสัญญาประกันชีวิตนั้นการใช้จำนวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของบุคคลหนึ่งเป็นสำคัญ และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 วรรคหนึ่ง ก็บัญญัติว่าบุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดีรู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อเท็จจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นเท็จไซร้ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆียะ ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของผู้เอาประกันภัยซึ่งการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของตนต้องเปิดเผยข้อความจริงให้ผู้รับประกันภัยทราบ การที่นายทวีผู้เอาประกันชีวิตป่วยเป็นวัณโรคปอดซึ่งเป็นโรคร้ายแรงและได้รับการรักษาเกี่ยวกับโรคดังกล่าวเป็นเวลานาน แต่มิได้แจ้งข้อความจริงดังกล่าวให้จำเลยทราบเมื่อขอเอาประกันชีวิตซึ่งหากจำเลยทราบก็อาจเรียกเบี้ยประกันสูงขึ้นหรือไม่รับประกันชีวิตสัญญาประกันชีวิตจึงเป็นโมฆียะ เมื่อเป็นโมฆียะแล้วผู้รับประกันภัยย่อมมีสิทธิที่บอกล้างนิติกรรมดังกล่าวได้โดยมิต้องคำนึงว่าผู้เอาประกันภัยจะถึงแก่ความตายหรือไม่ หรือตายด้วยเหตุใดดังนั้น เมื่อผู้เอาประกันชีวิตถึงแก่ความตายแล้ว จำเลยจึงชอบที่จะบอกล้างสัญญาประกันชีวิตอันเป็นโมฆียะต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาได้ เมื่อจำเลยบอกล้างสัญญาอันเป็นโมฆียะแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดใช้เงินให้โจทก์ตามฟ้องที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า สัญญาประกันชีวิตไม่เป็นโมฆียะ จำเลยจึงต้องรับผิดใช้เงินให้โจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share