คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 478/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ข้อที่จำเลยฎีกาว่า มีทรัพย์สินเพียงพอชำระหนี้ดังที่ บรรยายมาในฎีกาเพื่อแสดงว่าจำเลยสามารถชำระหนี้ทั้งหมดของโจทก์ได้นั้น เป็นการล่วงพ้นเวลาที่จำเลยจะพิสูจน์ว่าสามารถชำระหนี้ได้ เพราะจำเลยมิได้นำสืบไว้ให้ปรากฏ ในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้นทั้งเมื่อจำเลยเป็นหนี้โจทก์ ตามคำพิพากษาและศาลได้หมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี บังคับเอาชำระหนี้ของจำเลยแล้ว จำเลยก็มิได้ขวนขวายหาเงิน มาชำระหนี้หรือเอาทรัพย์สินมาตีใช้หนี้โจทก์ การที่จำเลยอ้าง ขึ้นมาในชั้นฎีกาว่า มีทรัพย์สินพอชำระหนี้โจทก์ได้ทั้งหมดนั้น จำเลยควรแถลงข้อความจริงและส่งมอบทรัพย์สินต่าง ๆเหล่านั้นให้แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เพราะทรัพย์สินต่าง ๆของจำเลยเป็นทรัพย์สินในคดีล้มละลายอันอาจแบ่งแก่เจ้าหนี้ทั้งหลายได้ กรณีจึงไม่มีเหตุที่ไม่สมควรให้จำเลยล้มละลาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายต่อไป
จำเลยไม่ยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยรับกันและมิได้นำสืบโต้แย้งกันฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคดีหมายเลขแดงที่ 948/2537 และ 1208/2537 ของศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน คดีถึงที่สุดจำเลยเป็นหนี้โจทก์รวม2,002,890 บาท ศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้จำเลยชำระหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว จำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำบังคับ ศาลชั้นต้นจึงออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำเลย จำเลยไม่มีทรัพย์สินจะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ หรือจำเลยอาจชำระหนี้ได้ทั้งหมด หรือมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลายหรือไม่ โจทก์นำสืบโดยมีตัวโจทก์และนางสาวแสนศรี กิจกอบชัย ทนายความโจทก์ว่าจำเลยเคยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ตำบลวัดประดู่อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี แต่ได้โอนให้ภริยาและบุตรไปก่อนแล้วประมาณ 3 ถึง 4 ปี จำเลยนำสืบว่าจำเลยยังมีที่ดินที่อยู่อาศัยและที่ดินแปลงที่ตั้งอยู่ที่ถนนโกเต็ง ตำบลวัดประดู่ อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานีจังหวัดสุราษฎร์ธานีและไม่ติดจำนอง แต่จำเลยเบิกความโดยอ้างขึ้นมาลอย ๆ และว่าจำหมายเลขโฉนดไม่ได้นอกจากนี้จำเลยยังนำสืบอีกว่า จำเลยเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นประธานบริษัทรับเหมาก่อสร้างรวม 3 บริษัท แต่จำเลยมิได้นำสืบให้ปรากฏว่ามีหุ้นอยู่จำนวนเท่าใด มูลค่าหุ้นจำนวนเท่าใด จำเลยมีเงินเดือนเดือนละเท่าใด บริษัทต่าง ๆ เหล่านั้นมีกำไรปีละเท่าใด แต่จำเลยเบิกความยอมรับว่า ทางบริษัทดังกล่าวยังไม่เคยจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นเลยข้อเท็จจริงมาปรากฏตามฎีกาของจำเลยและคำแก้ฎีกาของโจทก์ว่าที่ดินแปลงที่จำเลยอยู่อาศัยราคา 900,000 บาท และมีที่ดินโฉนดเลขที่ 6568 ตำบลมะขามเตี้ย เป็นสินสมรสของจำเลยแต่ปรากฏจากเอกสารท้ายคำแก้ฎีกาของโจทก์ว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานไว้ในวันนัดตรวจคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 104 ว่า มีเจ้าหนี้มายื่นคำขอรับชำระหนี้ 4 ราย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 17,548,960.80 บาทและในวันนัดประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรก เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานว่าโฉนดที่ดินเลขที่ 27523 และ 27524 ตำบลมะขามเตี้ยอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี นั้น เจ้าหนี้รายธนาคารกรุงไทย จำกัด ได้ขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้มีประกัน และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยังรายงานอีกว่าผู้รับมอบอำนาจจำเลยแจ้งว่าจำเลยจะทำการตกลงประนอมหนี้กับบรรดาเจ้าหนี้ ดังนี้ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยมีสินทรัพย์ไม่พอชำระหนี้สิน ที่จำเลยฎีกาอ้างว่ามีทรัพย์สินต่าง ๆ ดังที่บรรยายมาในฎีกา เพื่อแสดงว่าจำเลยสามารถชำระหนี้ทั้งหมดของโจทก์ได้นั้น เป็นการล่วงพ้นเวลาที่จำเลยจะพิสูจน์ว่าสามารถชำระหนี้ได้ เพราะจำเลยมิได้นำสืบไว้ให้ปรากฏในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้น เมื่อปรากฏว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลและศาลได้หมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีบังคับเอาชำระหนี้ของจำเลยแล้ว แต่จำเลยก็มิได้ขวนขวายหาเงินมาชำระหนี้หรือเอาทรัพย์สินมาตีใช้หนี้โจทก์ การที่จำเลยอ้างขึ้นมาในชั้นฎีกาว่ามีทรัพย์สินพอชำระหนี้โจทก์ได้ทั้งหมดนั้น เห็นว่าจำเลยควรแถลงข้อความจริงและส่งมอบทรัพย์สินต่าง ๆ เหล่านั้นให้แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เพราะทรัพย์สินต่าง ๆ ของจำเลยเป็นทรัพย์สินในคดีล้มละลายอันอาจแบ่งแก่เจ้าหนี้ทั้งหลายได้ตามมาตรา 22, 19 และ 109 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483พยานหลักฐานจำเลยไม่อาจหักล้างพยานโจทก์ได้ กรณีไม่มีเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share