แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ในความผิดฐานเบิกความเท็จ โจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่าจำเลยเบิกความว่าอย่างไร และบรรยายต่อไปว่าโจทก์มิได้เป็นผู้กระทำผิดดังจำเลยเบิกความ แต่มิได้บรรยายถึงข้อความที่จำเลยเบิกความต่อศาลนั้นว่าเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไร เป็นความเท็จตรงไหน และความจริงเป็นอย่างไร เพื่อให้เป็นที่เข้าใจได้ชัดเจนว่าจำเลยเบิกความว่าโจทก์กระทำผิดกฎหมายอย่างไร จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)ชอบที่ศาลจะยกฟ้องนั้นเสีย.(ที่มา-ส่งเสริม)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นพยานพนักงานอัยการได้เบิกความเท็จในการพิจารณาคดีอาญาระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดนครพนมโจทก์ นายนำ พลมาตย์ จำเลย ในความผิดฐานบุกรุกที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินตามสำนวนคดีอาญาหมายเลขดำที่ 329/2526 ขณะอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น โดยเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2526 เวลากลางวันจำเลยที่ 1 เบิกความว่า “ได้มีการกางแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศออกตรวจดูปรากฎว่าแผนที่ดังกล่าวมีภาพของลำห้วยผ่านที่ดินนายดำด้านทิศตะวันออกซึ่งติดกับที่ดินของนางเคน ลำห้วยดังกล่าวติดต่อเป็นแนวเดียวกันซึ่งระบุว่าลำห้วยดังกล่าวคือลำห้วยหนองเปง เป็นลำห้วยสาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน”
เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2526 เวลากลางวัน จำเลยที่ 2 เบิกความว่า “นายนำ พลมาตย์ จำเลยได้ถมดินปิดกั้นลำห้วยหนองเปงบริเวณติดต่อกับนางม่วงซึ่งอยู่คนละฟากกับที่ของจำเลย ลำห้วยเปงต้องไหลผ่านที่ของจำเลย การปิดกั้นลำห้วยนั้นจำเลยปิดกั้นลำห้วยบริเวณที่ไหลผ่านที่นาของจำเลยทำให้น้ำเอ่อล้นขึ้นท่วมที่นาของชาวบ้านเมื่อฤดูทำนาข้าพเจ้าไปดูที่เกิดเหตุปรากฎว่าจำเลยปิดกั้นลำห้วยจริง โดยใช้ดินถมลำห้วยกว้าง 4 เมตร ยาวประมาณ 120 เมตร น้ำไม่สามารถไหลผ่านได้ลำห้วยเปงมีความกว้าง 4 เมตร จำเลยถมเต็มความกว้างของลำห้วย”
เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2526 เวลากลางวัน จำเลยที่ 3 เบิกความว่า “เมื่อปี 2522 จำเลยค่อย ๆ ถมลำห้วยไปทีละนิด ถึงปี 2525 จำเลยจึงถมลำห้วยเต็มไม่ให้น้ำไหลผ่าน ทำให้น้ำทะลักเข้าท่วมนาข้าพเจ้าและนาชาวบ้าน”
เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2526 เวลากลางวัน จำเลยที่ 4 เบิกความว่า “แต่เมื่อก่อนนี้ประมาณ 6 ปีมาแล้วได้เคยมีลำห้วยแห่งหนึ่งเกิดขึ้นคั่นกลางระหว่างที่ดินข้าพเจ้ากับที่ดินของจำเลย เหตุที่ลำห้วยดังกล่าวสิ้นสภาพไปก็เนื่องจากนายนำจำเลยนี้ได้ทำการปิดกั้นลำห้วยดังกล่าวโดยทำการถมลำห้วยดังกล่าวจนมีสภาพกลายเป็นที่ดินธรรมดา”
การเบิกความของจำเลยทั้งสี่เป็นข้อสำคัญในคดีนั้น เป็นการเบิกความเท็จต่อศาลทำให้โจทก์เสียหาย ความจริงโจทก์มิได้เป็นผู้กระทำผิดดังจำเลยทั้งสี่เบิกความและศาลไม่เชื่อว่าโจทก์กระทำความผิดจึงพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว เหตุเกิดที่ศาลจังหวัดนครพนมตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177, 83
ศาลชั้นต้นสั่งงดไต่สวนมูลฟ้องแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายให้เห็นว่าข้อความที่จำเลยทั้งสี่เบิกความเป็นเท็จอย่างไรไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ตามที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1เบิกความต่อศาลก็ไม่ปรากฎว่า จำเลยที่ 1 เบิกความถึงโจทก์ว่าอย่างไรจำเลยที่ 2 ก็เบิกความแต่เพียงว่า จำเลย (โจทก์คดีนี้) ปิดกั้นลำห้วยบริเวณที่ไหลผ่านที่นาของจำเลย (โจทก์คดีนี้) มิได้เบิกความว่าโจทก์กระทำผิดอย่างไร จำเลยที่ 3 และที่ 4 เบิกความว่า จำเลย(โจทก์คดีนี้) ถมลำห้วยไม่ให้น้ำไหลผ่าน ทำให้น้ำทะลักเข้าท่วมนาข้าพเจ้าและนาชาวบ้าน และทำให้ลำห้วยสิ้นสภาพไป ข้อความที่จำเลยทั้งสี่เบิกความต่อศาลเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไร เป็นความเท็จตรงไปนและความจริงเป็นอย่างไร โจทก์มิได้บรรยายมาในฟ้องให้เป็นที่เข้าใจได้ชัดเจนว่าจำเลยทั้งสี่เบิกความว่าโจทก์กระทำผิดกฎหมายอย่างไรเพียงแต่โจทก์บรรยายฟ้องต่อไปว่าโจทก์มิได้เป็นผู้กระทำผิดดั่งจำเลยทั้งสี่เบิกความ ย่อมไม่อาจเข้าใจได้ว่าจำเลยทั้งสี่เบิกความว่าโจทก์กระทำผิดอย่างไร ที่โจทก์ฎีกาว่าย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าโจทก์มิได้ปิดกั้นลำห้วยหนองเปงดังคำเบิกความของจำเลยทั้งสี่นั้นเป็นความเข้าใจของโจทก์เอง การที่จะบรรยายฟ้องให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) โจทก์จะต้องบรรยายให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีว่าจำเลยเบิกความอันเป็นเท็จอย่างไรเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไร และความจริงเป็นอย่างไร เมื่อโจทก์มิได้บรรยายฟ้องมาให้ได้ความชัดเจนดังกล่าว ฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.