แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ในการปฏิบัติตามสัญญาก่อสร้างอาคารไว้ต่อโจทก์ มีใจความว่า ถ้าจำเลยที่1 ไม่ปฏิบัติ ตามสัญญาซึ่งโจทก์มีสิทธิเรียกค่าปรับหรือค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 ได้แล้ว จำเลยที่ 2 ยอมชำระเงินแทนให้ทันทีโดยไม่ต้องเรียกร้องให้ จำเลยที่ 1 ชำระก่อน จำเลยที่ 2 ยอมรับรู้และยินยอมด้วยในกรณีที่ โจทก์ได้ยินยอมให้ผัดหรือผ่อนเวลาหรือผ่อนผันการปฏิบัติตามสัญญา ให้แก่จำเลยที่ 1 โดยเพียงแต่โจทก์ติดต่อแจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบโดยไม่ชักช้าเท่านั้น ข้อความดังกล่าวมีความหมายชัดเจนว่าจำเลยที่ 2 ยอมให้โจทก์ผ่อนผันการปฏิบัติตามสัญญาให้แก่จำเลยที่ 1 โดยไม่ถือเป็น สาระสำคัญในการค้ำประกัน ขอแต่เพียงแจ้งการผ่อนผันให้จำเลยที่ 2 ทราบโดยไม่ชักช้าเท่านั้น ต่อมาโจทก์ได้ขยายระยะเวลาก่อสร้างให้ จำเลยที่ 1ออกไป โดยได้แจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบแล้ว ดังนั้นเมื่อ จำเลยที่ 1ผิดสัญญาและไม่ยอมชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยที่ 2จึงต้องรับผิดชำระเงินตามสัญญาให้แก่โจทก์ทันที โดยโจทก์ ไม่ต้องเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชำระก่อน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาว่าจ้างจำเลยที่ 1 ให้ก่อสร้างอาคารของโจทก์1 หลัง โดยแบ่งการชำระเงินเป็นงวด ๆ หากจำเลยที่ 1 ทำงานไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาหรือล่วงเลยเวลาไป โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและปรับจำเลยที่ 1ได้ กับต้องใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาของจำเลยที่ 1 ยอมผูกพันตนในวงเงิน 1,470,000 บาท และยอมชำระเงินแทนให้ทันทีในเมื่อโจทก์เรียกร้องให้รับผิด หลังจากทำสัญญาว่าจ้างกันแล้วโจทก์จำเลยที่ 1 ได้ตกลงทำสัญญาจ้างเพิ่มเติมให้ยืดเวลาการก่อสร้างต่อไปอีกแต่จำเลยที่ 1 ทำงานไม่เสร็จภายในกำหนดทั้งได้ทิ้งงานไป โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยที่ 1 แล้วทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินค่าปรับและค่าเสียหายตามสัญญาแก่โจทก์ กับทวงถามให้จำเลยที่ 2 รับผิดตามสัญญาค้ำประกัน จำเลยที่ 2 เพิกเฉยขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยทั้งสองรับผิดชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ทำงานไม่แล้วเสร็จตามสัญญาเพราะคณะกรรมการตรวจการจ้างและผู้ควบคุมงานของโจทก์สมคบกันกลั่นแกล้งให้จำเลยทดสอบพื้นอาคารว่าจะรับน้ำหนักได้ตามคำนวณหรือไม่ จำเลยต้องรอผลการทดสอบเป็นเวลาเกือบ 1 ปี ระหว่างนั้นจะก่อสร้างต่อก็ทำไม่ได้เมื่อโจทก์แจ้งผลการทดสอบให้จำเลยที่ 1 ทราบ ก็เหลือเวลาให้จำเลยที่ 1 ก่อสร้างเพียง40 วัน จำเลยที่ 1 ขอต่อสัญญาโจทก์ก็ต่อให้เพียง 73 วัน และแจ้งให้จำเลยที่ 1ทราบเมื่อเลยกำหนดเวลาที่อนุมัติให้ต่อแล้ว โจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงแก้ไขข้อความอันเป็นสาระสำคัญด้วยการผ่อนเวลาให้จำเลยที่ 1 โดยมิได้แจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบ และจำเลยที่ 2 มิได้ตกลงด้วย จำเลยที่ 2 จึงหลุดพ้นจากความรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินให้โจทก์ 2,640,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย ให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดในต้นเงินจำนวน 1,470,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย
โจทก์และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามหนังสือสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.2 หรือไม่นั้น เห็นว่าตามหนังสือสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.2ที่จำเลยที่ 2 ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ในการปฏิบัติตามสัญญาก่อสร้างอาคารกรมควบคุมโรคติดต่อ จำนวน 1 หลัง ตามแบบเลขที่ 2713 ไว้ต่อกรมควบคุมโรคติดต่อ(โจทก์) มีข้อความว่า “ข้อ 1. ฯลฯ ข้าพเจ้า (จำเลยที่ 2) ยอมผูกพันตนเป็นผู้ค้ำประกันบริษัทจันทนิมิตก่อสร้าง จำกัด (จำเลยที่ 1) ต่อ กรมควบคุมโรคติดต่อ (โจทก์) เป็นเงินไม่เกิน 1,470,000 บาท (หนึ่งล้านสี่แสนเจ็ดหมื่นบาทถ้วน) กล่าวคือ หากบริษัทจันทนิมิตก่อสร้าง จำกัด ไม่ปฏิบัติตามสัญญาที่ทำไว้กับกรมควบคุมโรคติดต่อ หรือปฏิบัติผิดสัญญาข้อใดข้อหนึ่งของสัญญาดังกล่าวซึ่งกรมควบคุมโรคติดต่อมีสิทธิเรียกค่าปรับ และหรือค่าเสียหายใด ๆ จากบริษัทจันทนิมิตก่อสร้าง จำกัด ได้แล้ว ข้าพเจ้า (จำเลยที่ 2) ยอมชำระเงินแทนให้ทันทีโดยมิต้องเรียกร้องให้บริษัทจันทนิมิตก่อสร้าง จำกัด ชำระก่อน ข้อ 2.ข้าพเจ้า (จำเลยที่ 2) ยอมรับรู้และยินยอมด้วยในกรณีที่กรมควบคุมโรคติดต่อได้ยินยอมให้ผัดหรือผ่อนเวลา หรือผ่อนผันการปฏิบัติตามสัญญาให้แก่บริษัทจันทนิมิตก่อสร้าง จำกัด โดยเพียงแต่กรมควบคุมโรคติดต่อแจ้งให้ข้าพเจ้า(จำเลยที่ 2) ทราบโดยไม่ชักช้าเท่านั้น ซึ่งข้อความดังกล่าวมีความหมายชัดเจนอยู่แล้วว่า จำเลยที่ 2 ยอมให้กรมควบคุมโรคติดต่อ (โจทก์) ผ่อนผันการปฏิบัติตามสัญญาให้แก่บริษัทจันทนิมิตก่อสร้าง จำกัด (จำเลยที่ 1) โดยไม่ถือเป็นสาระสำคัญในการค้ำประกัน ขอแต่เพียงแจ้งการผ่อนผันการปฏิบัติตามสัญญาให้จำเลยที่ 2 ทราบโดยไม่ชักช้าเท่านั้น และการที่โจทก์ได้ผ่อนผันหรือขยายระยะเวลาการก่อสร้างให้แก่จำเลยที่ 1 ออกไปนั้น จำเลยที่ 2 ย่อมทราบอยู่เองว่าจำเลยที่ 1 ขอขยายระยะเวลาค้ำประกันออกไปเพื่อให้โจทก์ผ่อนผันกำหนดเวลาปฏิบัติตามสัญญาให้แก่จำเลยที่ 1 ซึ่งโจทก์ก็ได้แจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบเกี่ยวกับเรื่องที่โจทก์ต่ออายุสัญญาจ้างให้แก่จำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมาย จ.66แล้ว ฉะนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาและไม่ยอมชำระค่าเสียหายแก่กรมควบคุมโรคติดต่อตามที่จำเลยที่ 2 ค้ำประกันไว้ จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดชำระเงินจำนวน1,470,000 บาท ให้แก่โจทก์ทันทีโดยโจทก์มิต้องเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชำระก่อนตามที่จำเลยที่ 2 ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.2 ไว้แก่โจทก์ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีจำเลยที่ 2 ไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 ไม่ยื่นคำแก้ฎีกาจึงไม่กำหนดค่าทนายความให้และให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ฎีกาแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าที่จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดต่อโจทก์