แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บันทึกรายงานประจำวันของตำรวจมีข้อความว่า โจทก์กับจำเลยมีกรณีโต้เถียงกันเรื่องค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา กับจำเลยเอาทรัพย์สินของโจทก์ไป แม้จะมีข้อความบันทึกว่าจำเลยแจ้งว่าโจทก์ได้มาตะโกนทวงหนี้และเอาทรัพย์สินไป แต่ก็ไม่มีข้อความว่าจำเลยได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับโจทก์ในข้อหาหมิ่นประมาท จึงไม่เป็นคำร้องทุกข์ที่กล่าวหาว่าโจทก์กระทำผิดทางอาญา.(ที่มา-เนติ)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานตำรวจหาว่าโจทก์หมิ่นประมาทจำเลย ขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 137, 172,173 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘คดีคงมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่าข้อความที่จำเลยแจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์ได้ตะโกนทวงหนี้และเอาเตาแก๊สของโจทก์ไปตามเอกสารหมาย จ.1 เป็นคำร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์หมิ่นประมาทจำเลยหรือไม่
พิเคราะห์แล้ว ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์นำสืบเอกสารหมาย จ.1ว่าเป็นคำร้องทุกข์ของจเลยต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลชนะสงครามว่าโจทก์หมิ่นประมาทจำเลย ศาลฎีกาเห็นว่าเอกสารหมาย จ.1 นี้เป็นบันทึกรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี ซึ่งมีข้อความว่าโจทก์กับจำเลยมีกรณีโต้เถียงกันเรื่องค่าไฟฟ้าค่าน้ำประปา กับเอาทรัพย์สินของโจทก์ไป และตำรวจได้นำโจทก์จำเลยมายังสถานีตำรวจนครบาลชนะสงครามเท่านั้น แม้เอกสารฉบับนี้ได้มีข้อความบันทึกไว้ว่า จำเลยแจ้งว่าโจทก์ได้มาตะโกนทวงหนี้และเอาทรัพย์สินไป ก็หาได้มีข้อความว่าจำเลยได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับโจทก์ในข้อหาหมิ่นประมาทจำเลยไม่ เอกสารดังกล่าวจึงถือไม่ได้ว่าเป็นคำร้องทุกข์ของจำเลยที่กล่าวหาโจทก์ว่าโจทก์กระทำความผิดทางอาญา ทั้งข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมาในชั้นไต่สวนมูลฟ้องก็เป็นเรื่องที่จำเลยดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทโจทก์ด้วยถ้อยคำต่าง ๆ ซึ่งโจทก์มิได้กล่าวในฟ้อง ข้อนำสืบของโจทก์จึงเป็นเรื่องนอกฟ้องทั้งสิ้น ที่ศาลล่างทั้งสองเห็นว่าคดีของโจทก์ไม่มีมูลอันพึงประทับฟ้องนั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น’
พิพากษายืน.