แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานมีเครื่องวิทยุคมนาคมและส่วนใด ๆ แห่งเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต บรรดาเครื่องวิทยุคมนาคมหรือส่วนใด ๆ แห่งเครื่องวิทยุคมนาคมที่จำเลยมีไว้โดยยังมิได้รับอนุญาตจึงเป็นทรัพย์ที่มีไว้เป็นความผิดและต้องริบตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498
ฎีกาของจำเลยว่าทรัพย์สองรายการตามบัญชีทรัพย์ของโจทก์ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือใช้ประกอบเครื่องวิทยุคมนาคมในการสื่อสารจึงไม่ใช่ส่วนใด ๆ แห่งเครื่องวิทยุคมนาคมนั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. ๒๔๙๘ มาตรา ๖,๒, ๒๓ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ พระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๒๖ มาตรา ๔ ริบของกลางทั้งหมดเพื่อให้ไว้ใช้ในราชการกรมไปรษณีย์โทรเลขต่อไป
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. ๒๔๙๘ มาตรา ๖, ๒๒, ๒๓ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๒๖ มาตรา ๔ ฐานมีไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตปรับ ๑,๐๐๐ บาท ฐานใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ปรับ ๑,๐๐๐ บาท ฐานตั้งสถานีวิทยุคมนาคมปรับ ๑,๐๐๐ บาทรวมปรับ ๓,๐๐๐ บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๗๘ คงปรับ ๑,๕๐๐ บาท ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙, ๓๐ ของกลางนั้นศาลเห็นว่า ตามสภาพมิใช่ทรัพย์ที่ผิดกฎหมายเพียงแต่มิได้ดำเนินการรับอนุญาตตามกฎหมายเท่านั้น ทั้งจำเลยอ้างว่าได้ขออนุญาตต่อทางราชการแล้วจึงยังไม่สมควรให้ริบให้ยกคำขอของโจทก์เสีย
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ริบของกลาง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ริบทั้งหมด เพื่อให้ไว้ใช้ในราชการกรมไปรษณีย์ไทรเลข นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ปรับจำเลยสถานเดียว คงแก้เฉพาะให้ริบของกลางถือว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อยจำเลยฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้น ที่จำเลยฎีกาว่า แบตเตอรี่ชาร์ตเตอร์ยี่ห้อไฮเบรเวอร์อะเคปเตอร์และเครื่องชาร์ตแบตเตอรี่ยี่ห้อ ที.โอ.เคนวู้ด แบบเสียบไฟเข้าเครื่องชาร์ตตามบัญชีทรัพย์อันดับ ๒ และอันดับ ๗ มิได้เกี่ยวข้องหรือใช้ประกอบเครื่องวิทยุคมนาคมในการสื่อสารศาลจึงไม่มีอำนาจริบนั้นเป็นการฎีกาว่าทรัพย์ทั้งสองรายการนั้นไม่ใช่ส่วนใด ๆ แห่งเครื่องวิทยุคมนาคม ซึ่งจำเลยมิได้ให้การต่อสู้มาตั้งแต่ศาลชั้นต้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า เครื่องวิทยุคมนาคมของจำเลยมิใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดตามความหมายแห่งกฎหมายและจะต้องริบตามมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. ๒๔๙๘ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. ๒๔๙๘ มาตรา ๖ บัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดทำมี ใช้ นำเข้า หรือนำออก ซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคมหรือส่วนใด ๆ แห่งเครื่องวิทยุคมนาคมหรือตั้งสถานีวิทยุคมนาคม เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต”ฉะนั้น บรรดาเครื่องวิทยุคมนาคมหรือส่วนใด ๆ แห่งเครื่องวิทยุคมนาคมที่จำเลยมีไว้จึงเป็นทรัพย์ที่มีไว้เป็นความผิด เว้นแต่จำเลยจะได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต เมื่อจำเลยยังมิได้รับอนุญาตและศาลก็ได้พิพากษาลงโทษจำเลยแล้วเครื่องวิทยุคมนาคมและส่วนใด ๆ แห่งเครื่องวิทยุคมนาคม ที่จำเลยมีไว้เป็นความผิดจึงต้องริบ ตามมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. ๒๔๙๘ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน