คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 92/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อจำเลยทำปลอมเงินตราเป็นเหรียญกษาปณ์ราคาอันละห้าบาท ซึ่งรัฐบาลไทยออกใช้ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 240 และจำเลยมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งเงินตราที่จำเลยทำปลอมขึ้นดังกล่าว เป็นความผิดตามมาตรา 244 กับจำเลยทำและมีเครื่องมือและวัตถุสำหรับทำปลอมเงินตราดังกล่าวด้วย เป็นความผิดตามมาตรา 246 จำเลยกระทำความผิดตามมาตรา 240 และได้กระทำผิดตามมาตรา 244 มาตรา 246 เกี่ยวกับเงินตราที่จำเลยทำปลอมขึ้นด้วย ซึ่งความผิดตามมาตรา 244 มาตรา 246 บัญญัติไว้ในลักษณะ 7 หมวด 1 หมวดเดียวกับมาตรา 240 ดังนั้น เมื่อจำเลยกระทำความผิดตามมาตรา 240 และศาลลงโทษตามมาตรา 240 แล้ว จะลงโทษจำเลยตามมาตรา 246 อีกกระทงหนึ่งไม่ได้ เพราะมาตรา 248 บัญญัติให้ลงโทษแต่กระทงเดียว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๑๘ ถึงวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๘ เวลากลางวันและกลางคืน จำเลยทำและมีแบบพิมพ์อันเป็นเครื่องมือสำหรับปลอมเหรียญกษาปณ์ราคาอันละห้าบาท เครื่องอุปกรณ์หลายชิ้นสำหรับปลอมเงินตราชนิดเหรียญกษาปณ์ราคาอันละห้าบาท ซึ่งรัฐบาลไทยออกใช้อยู่ในปัจจุบัน เพื่อใช้ปลอมเงินตราดังกล่าว และจำเลยใช้เครื่องมือดังกล่าวทำปลอม ซึ่งเงินตราเพื่อให้เป็นเหรียญกษาปณ์ชนิดอันละห้าบาท ซึ่งรัฐบาลไทยออกใช้ และมีเงินตราชนิดเหรียญกษาปณ์ราคาอันละห้าบาทจำนวน ๑๐ เหรียญ ที่จำเลยทำปลอมขึ้น เพื่อนำออกใช้โดยรู้ว่าเป็นของที่ทำปลอมขึ้น เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยเหรียญกษาปณ์ชนิดราคาอันละห้าบาท จำนวน ๑๐ เหรียญ แบบพิมพ์สำหรับปลอมเหรียญกษาปณ์ ๒ แบบพิมพ์ ทรายสำหรับขัดเหรียญ ๑ ขวด เศษดีบุก ๑ กิโลกรัม เตาสำหรับหลอมดีบุก ๑ เตา ตะหลิวสำหรับหลอมดีบุก ๔ อัน กรอบสังกะสีสำหรับประกอบแบบพิมพ์ ๓ อัน ปูนปลาสเตอร์สำหรับหล่อบล๊อก ๖ ถุง ช้อนสำหรับตักปูนปลาสเตอร์ ๑ ช้อน กระจกสำหรับหล่อแบบพิมพ์ ๑ แผ่น หม้ออะลูมิเนียม ๑ ใบ ซึ่งเป็นเครื่องมือและอุปกรณ์สำหรับใช้ในการกระทำความผิดเป็นของกลาง เหตุเกิดที่ตำบลโคกสำโรง อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๔๐, ๒๔๔, ๒๔๖ และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดตามโจทก์ฟ้อง หลังจากสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้ว
ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๔๐, ๒๔๔, ๒๔๖ ลงโทษตามมาตรา ๒๔๐ จำคุก ๑๒ ปี ตามมาตรา ๒๔๖ จำคุก ๖ ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๙ ปี ของกลางริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แล้วพิพากษาแก้ว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๔๐, ๒๔๔, ๒๔๖ แต่ให้ลงโทษตามมาตรา ๒๔๐ กระทงเดียวตามมาตรา ๒๔๘ จำคุก ๑๒ ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา ๗๘ ประมวลกฎหมายอาญา คงจำคุก ๖ ปี นอกจากที่แก้ให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๔๘ บัญญัติว่า “ถ้าผู้กระทำผิดตามมาตรา ๒๔๐ มาตรา ๒๔๑ หรือมาตรา ๒๔๗ ได้กระทำความผิดตามมาตราอื่นที่บัญญัติไว้ในหมวดนี้อันเกี่ยวกับสิ่งที่ตนปลอมหรือแปลงนั้นด้วย ให้ลงโทษผู้นั้นตามมาตรา ๒๔๐ มาตรา ๒๔๑ หรือมาตรา ๒๔๗ แต่กระทงเดียว” จำเลยทำปลอมเงินตราเป็นเหรียญกษาปณ์ราคาอันละห้าบาท ซึ่งรัฐบาลไทยออกใช้ เป็นความผิดตามมาตรา ๒๔๐ และจำเลยมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งเงินตราที่จำเลยปลอมขึ้นดังกล่าว เป็นความผิดตามมาตรา ๒๔๔ กับจำเลยทำและมีเครื่องมือและวัตถุสำหรับปลอมเงินตราดังกล่าวด้วยเป็นความผิดตามมาตรา ๒๔๖ จำเลยกระทำความผิดตามมาตรา ๒๔๐ และได้กระทำผิดตามมาตรา ๒๔๔ มาตรา ๒๔๖ เกี่ยวกับเงินตราที่จำเลยได้ทำปลอมขึ้นด้วย ซึ่งความผิดตามมาตรา ๒๔๔ มาตรา ๒๔๖ บัญญัติไว้ในลักษณะ ๗ หมวด ๑ หมวดเดียวกับมาตรา ๒๔๐ ดังนั้นเมื่อจำเลยกระทำผิดตามมาตรา ๒๔๐ และศาลลงโทษตามมาตรา ๒๔๐ แล้ว จะลงโทษจำเลยตามมาตรา ๒๔๖ อีกกระทงหนึ่งไม่ได้ เพราะมาตรา ๒๔๘ บัญญัติให้ลงโทษแต่กระทงเดียว
พิพากษายืน

Share