คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 918/2544

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ขายบ้านพร้อมที่ดินให้แก่จำเลย และโอนกรรมสิทธิ์กันเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2534 โดยจำเลยยังค้างค่าบ้านและที่ดินอีก65,000 บาท ซึ่งโจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้นับแต่สิ้นเดือนกันยายน2534 เป็นต้นไป แต่โจทก์มิใช่บุคคลที่เป็นพ่อค้าซึ่งประกอบการค้าโดยซื้อสินค้ามาและขายไปเป็นปกติธุระที่จะต้องฟ้องคดีภายใน กำหนด 2 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1)(เดิม) โจทก์มีสิทธิฟ้องคดีได้ภายใน 10 ปี ตามมาตรา 164(เดิม) ซึ่งเป็น กฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ และ ระยะเวลาดังกล่าวยังไม่สิ้นสุดลงในวันที่พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติ บรรพ 1 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2535 ใช้บังคับทั้งเป็นระยะเวลาที่ยาวกว่าระยะเวลาที่กำหนดขึ้น ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ตรวจชำระใหม่ท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าว คือมาตรา 193/34(1) จึงต้องนำระยะเวลาที่ยาวกว่ามาใช้บังคับตามพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 1แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2535มาตรา 14
เอกสารสัญญาจะซื้อขายบ้านพร้อมที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยไม่ใช่ใบรับตามประมวลรัษฎากร แม้จะไม่ปิดอากรแสตมป์ก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2534 จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายบ้านพร้อมที่ดินจากโจทก์ราคา 980,000 บาท วางเงินมัดจำ 200,000 บาทส่วนที่เหลือตกลงแบ่งชำระ 2 งวด โจทก์โอนกรรมสิทธิ์บ้านพร้อมที่ดินให้แก่จำเลยแล้ว แต่จำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์เพียงบางส่วน คงค้างชำระอีก65,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 82,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นปี 65,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า สัญญาจะซื้อขายเป็นเอกสารปลอมความจริงจำเลยตกลงซื้อบ้านและที่ดินในราคา 870,000 บาท จำเลยชำระเงินสองครั้งเป็นเงิน 900,000 บาท ซึ่งจำเลยชำระเกินไป 30,000บาท และจำเลยมอบเงินให้แก่โจทก์ 15,000 บาท เป็นค่าแก้ไขซ่อมแซมบ้าน แต่โจทก์มิได้ดำเนินการให้จำเลยไม่ได้ผิดสัญญา และคดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์คืนเงิน 45,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันยื่นคำให้การและฟ้องแย้งจนกว่าโจทก์จะชำระครบให้แก่จำเลย

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า เงินที่จำเลยชำระให้แก่โจทก์จำนวน45,000 บาท เป็นค่าบ้านและที่ดิน จำเลยจึงไม่มีสิทธิรับคืนและขอให้ยกฟ้องแย้ง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 65,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2534จนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องแย้ง จำเลยอุทธรณ์โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุอันควรที่จะอุทธรณ์ส่วนของฟ้องแย้งในข้อเท็จจริงได้ ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษายืน จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยประการแรกว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่และประการที่ 2ว่า สัญญาจะซื้อขายที่ดินไม่ปิดอากรแสตมป์โจทก์จะฟ้องให้บังคับตามสัญญาดังกล่าวได้หรือไม่ คดีนี้ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนว่าโจทก์ขายบ้านพร้อมที่ดินจัดสรรให้แก่จำเลยและโอนกรรมสิทธิ์กันเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2534 โดยจำเลยยังค้างค่าบ้านและที่ดินอีก65,000 บาท และโจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้นับแต่สิ้นเดือนกันยายน 2534 เป็นต้นไป เห็นว่า สิทธิเรียกร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1)(เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ กำหนดอายุความฟ้องคดีของบุคคลผู้เป็นพ่อค้าเรียกเอาค่าที่ได้ส่งมอบของไว้มีกำหนด 2 ปี โจทก์มิใช่บุคคลที่ประกอบการค้าโดยซื้อสินค้ามาและขายไปเป็นปกติธุระแต่เป็นเพียงผู้ปลูกบ้านพร้อมจัดสรรที่ดินขายให้แก่บุคคลทั่วไปเท่านั้นจึงมิได้เป็นพ่อค้าตามความหมายของบทบัญญัติดังกล่าวที่จะต้องฟ้องคดีภายในกำหนด 2 ปี โจทก์มีสิทธิฟ้องคดีได้ภายในกำหนด 10 ปี ตามมาตรา 164(เดิม) และระยะเวลาดังกล่าวยังไม่สิ้นสุดลงในวันที่พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 1 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2535 ใช้บังคับ ทั้งเป็นระยะเวลาที่ยาวกว่าระยะเวลาที่กำหนดขึ้นตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ตรวจชำระใหม่ท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าวคือมาตรา 193/34(1) จึงต้องนำระยะเวลาที่ยาวกว่ามาใช้บังคับตามพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 1 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2535 มาตรา 14 โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องคดีได้ภายในกำหนด 10 ปี และนับตั้งแต่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ตั้งแต่สิ้นเดือนกันยายน 2534 ถึงวันฟ้องยังไม่เกิน 10 ปี ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในข้อนี้ชอบแล้ว ส่วนกรณีสัญญาจะซื้อขายไม่ปิดอากรแสตมป์นั้น เห็นว่า สัญญาจะซื้อขายบ้านพร้อมที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยไม่ใช่ใบรับตามประมวลรัษฎากร แม้สัญญาจะซื้อขายบ้านพร้อมที่ดินนี้จะไม่ปิดอากรแสตมป์ก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลรัษฎากรมาตรา 118 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยชอบแล้ว”

พิพากษายืน

Share