คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 918/2524

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลฎีกาเคยวินิจฉัยว่าบ้านพร้อมโรงเก็บไม้แปรรูป และร้านค้าไม้แปรรูปซึ่งปลูกอยู่ติดกัน ที่ผู้ร้องเอาไปประกันภัยไว้เป็นของจำเลย และฟังว่าจำเลยเชิดให้ผู้ร้องเป็นตัวแทนเอาทรัพย์สินของจำเลยดังกล่าวไปประกันภัยเงินค่าประกันภัยจึงตกเป็นของจำเลย ไม่ใช่ของผู้ร้อง ดังนี้ แม้จะเป็นการวินิจฉัยถึงเงินค่าประกันภัยว่าจะตกได้แก่ใครก็ตาม ก็ต้องวินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่เอาประกันภัยว่าเป็นของใคร เพื่อนำไปสู่ปัญหาว่าผู้เอาประกันภัยมีส่วนได้เสียในการเอาประกันภัยหรือไม่ด้วย เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่าทรัพย์ที่เอาประกันภัยเป็นของจำเลย ข้อวินิจฉัยดังกล่าวจึงผูกพันผู้ร้องคดีนี้ เพราะเป็นคู่ความเดียวกัน ผู้ร้องจะมาร้องให้ศาลวินิจฉัยอีกว่าเป็นทรัพย์ของผู้ร้องไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ชนะคดีที่ฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ในการบังคับคดีไฟไหม้ทรัพย์ที่ยึดบางส่วน โจทก์ขออายัดเงินค่าสินไหมทดแทนที่บริษัทรับประกันภัยจะจ่ายแก่จำเลย ผู้ร้องคัดค้านว่า เงินนี้ต้องจ่ายแก่ผู้ร้อง ศาลยกคำร้อง ผู้ร้องมาร้องว่าทรัพย์ที่ยึดเป็นของผู้ร้องเป็นคดีนี้อีกขอให้ถอนการยึด ศาลชั้นต้นยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ผู้ร้องฎีกาข้อแรกว่า ผู้ร้องได้ซื้อบ้านเลขที่ 143 จากนายไชยยศ สกุลดีเลิศ เมื่อปี พ.ศ. 2515 มีหลักฐานการซื้อขายและคำขอจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ แล้วผู้ร้องก็ใช้บ้านเลขที่ดังกล่าวเป็นสำนักงานและต่อเติมอาคารบ้านดังกล่าวเป็นอาคารเรือนไม้เพื่อใช้เป็นสถานที่ทำการของห้างหุ้นส่วนจำกัด ต. เกียรติเสรีค้าไม้ และอุตสาหกรรม ทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดมาดังกล่าวจึงเป็นของผู้ร้อง ศาลฎีกาเห็นว่าผู้ร้องเคยยื่นคำร้องลงวันที่ 2 มกราคม 2519 ว่า ที่โจทก์ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดเงินค่าประกันภัยโรงงานแปรรูปไม้เลขที่ 193 ที่ถูกเพลิงไหม้บางส่วน ซึ่งบริษัทรับประกันภัยจะจ่ายให้ว่าเป็นของจำเลยนั้น เป็นของผู้ร้อง ขอให้ปล่อยเงินที่อายัด ศาลฎีกาได้วินิจฉัยในคดีดังกล่าวว่า บ้านเลขที่ 193 พร้อมโรงเก็บไม้แปรรูป กับร้านค้าไม้แปรรูปอีก 1 หลัง ซึ่งปลูกติดกัน ที่ผู้ร้องเอาไปประกันภัยไว้กับบริษัทประกันภัยเป็นของจำเลย และฟังว่าจำเลยเชิดให้ผู้ร้องเป็นตัวแทนจำเลยเอาทรัพย์สินของจำเลยดังกล่าวไปประกันภัย เงินค่าประกันภัยจึงตกเป็นของจำเลย ไม่ใช่ของผู้ร้อง ดังนี้แม้จะเป็นการวินิจฉัยถึงเงินค่าประกันภัยว่าจะตกได้แก่ใครก็ตาม ก็ต้องวินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่เอาประกันภัยว่าเป็นของใคร เพื่อนำไปสู่ปัญหาว่า ผู้เอาประกันภัยมีส่วนได้เสียในการเอาประกันภัยหรือไม่ด้วย เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่าทรัพย์ที่เอาประกันภัยเป็นของจำเลย ข้อวินิจฉัยดังกล่าวของศาลฎีกาจึงผูกพันผู้ร้องคดีนี้ เพราะเป็นคู่ความเดียวกันผู้ร้องจะมาร้องให้ศาลวินิจฉัยอีกว่าเป็นทรัพย์ของผู้ร้องไม่ได้

พิพากษาแก้เฉพาะให้ปล่อยเครื่องตัดไม้ 2 เครื่องที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึด

Share