คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9156/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ฟ้องแย้งของจำเลยส่วนหนึ่งมีคำขอบังคับบุคคลภายนอกมิใช่ฟ้องแย้งโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความในคดี ส่วนฟ้องแย้งอีกส่วนหนึ่งก็จำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงที่จำเลยฟ้องแย้งบุคคลภายนอกนั้น ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 7639 เนื้อที่ 17 ไร่ 2 งาน 85 ตารางวา จำเลยได้บุกรุกเข้าไปปลูกต้นส้มโอบนเนื้อที่ประมาณ 6 ไร่ ทางด้านทิศใต้และได้ครอบครองที่ดินเฉพาะส่วนดังกล่าวตลอดมา จึงเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนต้นส้มโอพร้อมทั้งขนย้ายออกไปจากที่ดิน โดยค่าใช้จ่ายของจำเลยเองหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนากับให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนโดยให้จำเลยเสียค่าใช้จ่ายทั้งหมดและห้ามจำเลยเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจำนวน 144,000 บาท และค่าเสียหายอีกเดือนละ 12,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 7639เดิมมีเนื้อที่เพียง 15 ไร่ 3 งาน 28 ตารางวา จำเลยและนายทุเรียน ฤทธิ์ศรีสันต์ มีกรรมสิทธิ์คนละครึ่ง เมื่อนายทุเรียนฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นขอแบ่งแยกศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้แบ่งแยกที่ดินคนละกึ่งหนึ่งหรือตามจำนวนที่มีอยู่ในขณะรังวัดแบ่งแยกโดยจำเลยได้ทางทิศตะวันตก ต่อมานายทุเรียนกับโจทก์และผู้มีชื่อได้ร่วมกันปลอมเอกสารเกี่ยวกับการขอแบ่งแยกที่ดิน และแก้ไขเนื้อที่ในโฉนดที่ดินดังกล่าวจากเนื้อที่ 15 ไร่ 3 งาน 28 ตารางวา เพิ่มเป็น 25 ไร่ 2 งาน94 ตารางวา การรังวัดเพิ่มเนื้อที่นี้ได้รุกล้ำทับที่ดินมือเปล่าที่จำเลยครอบครองอยู่ก่อนรวมเนื้อที่ 9 ไร่ 3 งาน66 ตารางวา แล้วแบ่งแยกที่ดินให้จำเลยเพียง 8 ไร่ 9 ตารางวาซึ่งไม่ถูกต้อง การที่นายทุเรียนกับผู้มีชื่อสมคบกันนำที่ดินมือเปล่าที่จำเลยครอบครองโดยชอบไปออกโฉนดแล้วนำที่ดินส่วนนี้ไปขายให้โจทก์ทั้ง ๆ ที่โจทก์ก็ทราบดีอยู่แล้วว่าเป็นที่ดินของจำเลย การซื้อขายระหว่างโจทก์กับนายทุเรียนและผู้มีชื่อจึงไม่ชอบเพราะโจทก์ซื้อที่ดินจากผู้ไม่มีอำนาจขายแม้เป็นการซื้อโดยทุจริต โจทก์ก็หาได้กรรมสิทธิ์ไม่ ขอให้ยกฟ้องและขอให้บังคับโจทก์แก้เนื้อที่ดินพิพาทในโฉนดเลขที่ 7639 ให้มีเนื้อที่เท่าเดิมแล้วแบ่งแยกที่ดินใหม่ให้จำเลยได้ทางทิศตะวันตกกึ่งหนึ่งตามคำพิพากษาตามยอมคดีหมายเลขแดงที่ 592/2535 ของศาลชั้นต้น ให้โจทก์โอนสิทธิครอบครองที่ดินที่ไม่มีหลักฐานเนื้อที่ 9 ไร่ 3 งาน 66 ตารางวาคืนให้จำเลยพร้อมทั้งส่งมอบให้จำเลยในสภาพดีดังเดิม หากโจทก์ไม่ไปหรือมิได้ส่งมอบให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์ ให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนแก้ไขโฉนดตามคำฟ้องแย้งและค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองเนื้อที่ 9 ไร่ 3 งาน 66 ตารางวา คืนให้จำเลยและเสียภาษีเงินได้แทนจำเลย แล้วให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์กับนายทุเรียน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า รับคำให้การจำเลย จึงไม่รับฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยฎีกาว่าฟ้องแย้งของจำเลยเกี่ยวกับฟ้องเดิมพิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่ดินพิพาทซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์พร้อมกับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย และฟ้องแย้งว่านายทุเรียนกับโจทก์และผู้มีชื่อได้ร่วมกันปลอมเอกสารเกี่ยวกับการขอแบ่งแยกที่ดินและแก้ไขเนื้อที่ดินในโฉนดเลขที่ 7639 จากเนื้อที่ 15 ไร่ 3 งาน 28 ตารางวา เป็น25 ไร่ 2 งาน 94 ตารางวา ซึ่งเนื้อที่ส่วนที่เพิ่มนี้ได้รุกล้ำทับที่ดินมือเปล่าที่จำเลยครอบครองรวมเนื้อที่ 9 ไร่3 งาน 66 ตารางวา แล้วนายทุเรียนแบ่งแยกที่ดินให้จำเลยเพียง 8 ไร่ 9 ตารางวา โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทโดยทราบดีอยู่แล้วว่าเป็นที่ดินของจำเลย การซื้อขายระหว่างโจทก์กับนายทุเรียนและผู้มีชื่อจึงไม่ชอบ โจทก์จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ ขอให้บังคับโจทก์แก้ไขโฉนดที่ดินพิพาทจากเนื้อที่ 25 ไร่ 2 งาน 94 ตารางวา เป็นเนื้อที่ 15 ไร่ 3 งาน 28 ตารางวา แล้วทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินใหม่ให้โจทก์มีส่วนได้ 7 ไร่ 3 งาน64 ตารางวา ทางด้านทิศตะวันออกและอีกกึ่งหนึ่งให้จำเลยมีส่วนได้ทางด้านทิศตะวันตก ตามที่จำเลยและนายทุเรียนได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอม ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 592/2535 ระหว่างนายทุเรียน ฤทธิ์ศรีสันต์ โจทก์นายบุญธรรม ฤทธิ์ศรีสันต์ จำเลย และให้โอนสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่าเนื้อที่ 9 ไร่ 3 งาน 66 ตารางวา คืนให้จำเลยพร้อมทั้งส่งมอบที่ดินคืนให้จำเลยในสภาพดีดังเดิม หากโจทก์ไม่ไปหรือมิได้ส่งมอบ ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์และให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนแก้ไขโฉนดตามคำฟ้องแย้งและค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองเนื้อที่ 9 ไร่ 3 งาน 66 ตารางวา คืนให้จำเลยและเสียภาษีเงินได้แทนจำเลยด้วย แล้วให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับนายทุเรียน ฤทธิ์ศรีสันต์ ฟ้องแย้งของจำเลยดังกล่าวเป็นคำฟ้องและมีคำขอบังคับบุคคลภายนอกมิใช่ฟ้องแย้งโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความในคดี ส่วนฟ้องแย้งที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาฟ้องโจทก์ก็จำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงที่จำเลยฟ้องแย้งบุคคลภายนอกนั้นฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เกี่ยวข้องกับคำฟ้องของโจทก์พอที่จะรวมพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ ถือได้ว่าฟ้องแย้งของจำเลยเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสาม ที่ศาลล่างทั้งสองเห็นว่าฟ้องแย้งของจำเลยไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม และไม่รับฟ้องแย้งนั้นชอบแล้วที่จำเลยกล่าวอ้างมาในฎีกาอีกว่า เมื่อฟ้องแย้งของจำเลยเกี่ยวข้องกับคำฟ้องเดิมแล้วที่จำเลยขอให้เรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาเป็นโจทก์ร่วมจึงชอบด้วยกฎหมายนั้น จึงเป็นฎีกาที่ไม่เป็นสาระแก่คดีไม่จำต้องวินิจฉัย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share