คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9142/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

สำหรับความผิดฐานเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหาเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงอายุกว่า 18 ปี ตาม ป.อ. มาตรา 282 วรรคแรก กับฐานเป็นเจ้าของกิจการ ผู้ดูแล หรือผู้จัดการสถานการค้าประเวณี ตาม พ.ร.บ.ปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2503 มาตรา 9 เมื่อปรากฏว่าจำเลยเป็นทั้งเจ้าของกิจการร้านอันเป็นสถานการค้าประเวณีและเป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงด้วย จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาว่า ความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวเป็นความผิดต่างกรรมกันนั้นไม่ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความไม่ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2503 มาตรา 4, 8, 9 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 4, 9, 11 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2, 3, 33, 91, 282, 286 ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคแรก พระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2503 มาตรา 8 และมาตรา 9 ซึ่งเป็นความผิดหลายกรรม ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเป็นเจ้าของกิจการ ผู้ดูแล ผู้จัดการสถานการค้าประเวณีโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้จำคุก 6 เดือน กระทงหนึ่ง ฐานเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงแม้หญิงนั้นจะยินยอมก็ตาม ซึ่งเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคแรก ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุก 2 ปี อีกกระทงหนึ่งจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสี่ คงจำคุก 1 ปี 10 เดือน 15 วัน ริบบัตรรถและสมุดบัญชีรับ-จ่ายในการค้าประเวณีของกลางคำขออื่นของโจทก์ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าจำเลยเป็นเจ้าของกิจการร้านธัญญพร ซึ่งเป็นสถานบริการตั้งอยู่เลขที่ 927/107 ถนนเศรษฐกิจ 1 ตำบลมหาชัย อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร สำหรับความผิดฐานดำรงชีพอยู่จากรายได้ของหญิงซึ่งค้าประเวณีไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่าจำเลยกระทำความผิดฐานเป็นเจ้าของกิจการผู้ดูแล หรือผู้จัดการสถานการค้าประเวณีหรือไม่ โจทก์มีร้อยตำรวจโทฉัตรชัย ดาบตำรวจวิเชียร และจ่าสิบตำรวจผดุงศักดิ์ เป็นประจักษ์พยานเบิกความสอดคล้องกันได้ความว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 21 นาฬิกา พยานทั้งสามได้ปลอมตัวเป็นนักท่องเที่ยวเข้าไปนั่งที่โต๊ะภายในร้านของจำเลยแล้วสั่งเบียร์มาดื่ม นางสาวลัดดาวัลย์ พนักงานในร้านจำเลยนำเบียร์มาเสิร์ฟและถามว่าจะขึ้นห้อง (ร่วมประเวณี) ไหม พยานทั้งสามถามว่าราคาเท่าไหร่ นางสาวลัดดาวัลย์ตอบว่าชั่วคราวคนละ 200 บาท พยานทั้งสามตกลง นางสาวลัดดาวัลย์จึงเรียกผู้หญิงที่นั่งตามโต๊ะต่างๆ ภายในร้านมาให้พยานทั้งสามเลือกโดยจ่าสิบตำรวจผดุงศักดิ์เลือกขึ้นห้องกับนางสาวศรีวรรณ ดาบตำรวจวิเชียรเลือกนางสาวหัส และร้อยตำรวจโทฉัตรชัยเลือกนางสาวถาวร เมื่อเลือกผู้หญิงได้แล้ว ร้อยตำรวจโทฉัตรชัยได้ชำระสินค้าจ้างค่าตัวหญิงผู้ค้าประเวณีรวมเป็นเงิน 600 บาท ให้แก่นางสาวลัดดาวัลย์ จากนั้นนางสาวลัดดาวัลย์นำเงินไปใส่ไว้ในลิ้นชักเคาน์เตอร์ ส่วนนางสาวถาวร นางสาวหัส และนางสาวศรีวรรณได้พาพยานทั้งสามเดินเข้าไปยังห้องที่อยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์ห้องละหนึ่งคนแล้วต่างก็ร่วมประเวณีกับผู้หญิงที่ตนเลือกจนสำเร็จความใคร่ตามที่ตกลงกัน ซึ่งนางสาววันดี พยานจำเลยก็เบิกความยืนยันว่า จำเลยแบ่งชั้นที่ 1 ของบ้านเป็นห้องเช่าประมาณ 5 ถึง 6 ห้อง ในวันเกิดเหตุมีชาย 3 คน เข้ามานั่งในร้านของจำเลยแล้วสั่งเบียร์มาดื่ม ระหว่างนั้นมีผู้หญิงซึ่งเช่าห้องของจำเลยเป็นที่อยู่อาศัยลงมานั่งกับชายทั้งสามคนและชักชวนชายทั้งสามคนให้ขึ้นไปหลับนอนในห้องที่ตนเช่าจำเลย อันเป็นการเจือสมกับคำเบิกความของร้อยตำรวจโทฉัตรชัยกับพวกดังกล่าว ทำให้น่าเชื่อว่าประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสามเบิกความไปตามความเป็นจริงมิได้กลั่นแกล้งปรักปรำจำเลยจึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า ตามวันเวลาที่เกิดเหตุดังกล่าวในฟ้องมีผู้กระทำการค้าประเวณีในร้านของจำเลยจริง ที่จำเลยอ้างว่านางสาวถาวร นางสาวหัสและนางสาวศรีวรรณเป็นเพียงคนเช่าห้องของจำเลยอยู่อาศัย การที่ผู้เช่าจะชักชวนลูกค้าให้ขึ้นไปหลับนอนในห้องที่ตนเช่าเป็นเรื่องส่วนตัว มิได้เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการร้านของจำเลยนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของร้อยตำรวจโทฉัตรชัยกับพวกว่านางสาวลัดดาวัลย์พนักงานในร้านจำเลยเป็นผู้ติดต่อจัดหานางสาวถาวรกับพวกให้กระทำการค้าประเวณีต่อร้อยตำรวจโทฉัตรชัยกับพวก และเป็นผู้รับสินจ้างค่าตัวหญิงผู้ค้าประเวณีจากร้อยตำรวจโทฉัตรชัยแล้วนำไปใส่ในลิ้นชักเคาน์เตอร์ของร้านจำเลย อีกทั้งห้องที่ใช้กระทำชำเราก็อยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์ติดต่อเป็นบริเวณเดียวกับร้านของจำเลยนั้นเอง แสดงให้เห็นว่าร้านของจำเลยมิใช่เป็นเพียงสถานบริการธรรมดาเท่านั้นแต่ยังประกอบกิจการเป็นสถานการค้าประเวณีอีกด้วย ดังนั้น แม้ทางพิจารณาจะไม่ปรากฏว่าจำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องหรือได้รับผลประโยชน์จากผู้กระทำการค้าประเวณีโดยตรง แต่ตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาดังกล่าวก็ฟังได้แล้วว่าจำเลยเป็นเจ้าของกิจการสถานการค้าประเวณีด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่าจำเลยเป็นเจ้าของกิจการ ผู้ดูแล หรือผู้จัดการสถานการค้าประเวณีนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปมีว่า จำเลยกระทำความผิดฐานเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหาเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงอายุกว่า 18 ปีและฐานจัดหาผู้กระทำการค้าประเวณีเป็นปกติธุระตามฟ้องหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า ประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสามปากซึ่งเป็นผู้ร่วมจับกุมจำเลยเบิกความขัดกันในข้อที่เป็นสาระสำคัญเกี่ยวกับเรื่องขณะเข้าจับกุมนั้น จำเลยอยู่ในที่เกิดเหตุหรือไม่ โดยจ่าสิบตำรวจผดุงศักดิ์ และดาบตำรวจวิเชียร เบิกความยืนยันว่าขณะเกิดเหตุจับกุมหญิงค้าประเวณีจำเลยไม่ได้อยู่ในร้าน ขณะคุมตัวหญิงที่ถูกจับกุมก็ไม่ปรากฏว่ามีจำเลยรวมอยู่ในกลุ่มด้วย คงมีแต่ร้อยตำรวจโทฉัตรชัย เพียงปากเดียวที่เบิกความว่าเห็นจำเลยนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ของร้านจึงน่าเชื่อว่าจำเลยมิได้อยู่ในร้านและขณะที่หญิงค้าประเวณีกระทำความผิดคดีนี้ เมื่อจำเลยมิได้อยู่ในขณะมีการกระทำความผิด จำเลยจะเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาไปเพื่อการอนาจารหรือเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นมิได้นั้น เห็นว่า คำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสามปากดังกล่าวแม้จะเบิกความแตกต่างกันก็เป็นเพียงพลความ มิใช่ข้อที่เป็นสาระสำคัญแห่งคดีแต่อย่างใด เพราะขณะพยานโจทก์แต่ละคนเข้าไปในร้านของจำเลยอาจจะไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นเจ้าของร้านเนื่องจากนางสาวลัดดาวัลย์ เป็นผู้มาสอบถามร้อยตำรวจโทฉัตรชัยว่าต้องการจะร่วมประเวณีกับนางสาวถาวร กับพวกหรือไม่ เมื่อร้อยตำรวจโทฉัตรชัยตอบตกลงและได้มอบธนบัตรที่ลงลายมือชื่อไว้ให้แก่นางสาวลัดดาวัลย์ นางสาวลัดดาวัลย์นำธนบัตรดังกล่าวไปมอบให้แก่จำเลยซึ่งนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ จำเลยเก็บธนบัตรดังกล่าวไว้ในลิ้นชักของเคาน์เตอร์แล้วฉีกบัตรเลขที่ 05, 06 และ 07 มอบให้แก่นางสาวถาวรกับหญิงอีก 2 คน ซึ่งขณะนั้นจ่าสิบตำรวจผดุงศักดิ์และดาบตำรวจวิเชียรอาจจะไม่ได้มองไปที่เคาน์เตอร์ที่จำเลยนั่งอยู่ จึงไม่ทราบว่าจำเลยอยู่ในร้านขณะนั้นหรือไม่ ส่วนร้อยตำรวจโทฉัตรชัยเป็นผู้ติดต่อกับนางสาวลัดดาวัลย์โดยตรงย่อมเห็นเหตุการณ์ขณะนางสาวลัดดาวัลย์นำธนบัตรดังกล่าวไปมอบให้แก่จำเลย ร้อยตำรวจโทฉัตรชัยไม่เคยรู้จักและมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนจึงไม่มีเหตุที่จะทำให้ระแวงสงสัยว่าจะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลย เชื่อว่าร้อยตำรวจโทฉัตรชัยเบิกความไปตามความสัตย์จริงที่ได้พบเห็นมา ประกอบกับเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยได้ในที่เกิดเหตุ ทั้งชั้นจับกุมจำเลยก็ได้ให้การรับสารภาพตามบันทึกการจับกุม (ศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์) ซึ่งบันทึกการจับกุมได้ทำขึ้นในวันเกิดเหตุ พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาจึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยอยู่ในร้านขณะที่หญิงค้าประเวณีกระทำความผิด อย่างไรก็ตามถึงแม้ขณะเกิดเหตุจำเลยจะไม่ได้อยู่ในร้านของจำเลย แต่เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นเจ้าของกิจการสถานการค้าประเวณีดังได้วินิจฉัยมาแล้วข้างต้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหาเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงอายุกว่า 18 ปี และฐานจัดหาผู้กระทำการค้าประเวณีเป็นปกติธุระตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคแรก และพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2503 มาตรา 8 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทหนักเพียงบทเดียวนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
อนึ่ง สำหรับความผิดฐานเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหาเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงอายุกว่า 18 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคแรก กับฐานเป็นเจ้าของกิจการ ผู้ดูแล หรือผู้จัดการสถานการค้าประเวณีตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2503 มาตรา 9 เมื่อปรากฏว่าจำเลยเป็นทั้งเจ้าของกิจการร้านอันเป็นสถานการค้าประเวณีและเป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงด้วย จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาว่า ความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวเป็นความผิดต่างกรรมกันนั้นไม่ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความไม่ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225”
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหาเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงอายุกว่า 18 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคแรก กับความผิดฐานเป็นเจ้าของกิจการ ผู้ดูแล หรือผู้จัดการสถานการค้าประเวณี ตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2503 มาตรา 9 เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคแรก ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี เมื่อลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7

Share