แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้เสียหายมอบอำนาจให้ ป. ไปดำเนินการออกโฉนดที่ดินแทนผู้เสียหายการที่จำเลยยึดหน่วงโฉนดที่ดินของผู้เสียหายไว้ สืบเนื่องมาจาก ป. กู้ยืมเงินจากจำเลยเพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการออกโฉนดให้แก่ผู้เสียหาย โดย ป. จะได้รับค่าจ้างเป็นการตอบแทนหลังจากได้รับโฉนดที่ดินแล้ว และ ป. นำโฉนดที่ดินให้จำเลยยึดถือไว้เป็นประกัน อีกทั้ง ป. มิได้เป็นญาติหรือมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องอันใดกับผู้เสียหายในการที่จะดำเนินการรังวัดออกโฉนดให้ผู้เสียหายโดยไม่คิดค่าตอบแทน และผู้เสียหายก็ยอมรับว่า ป. แจ้งว่านำโฉนดที่ดินไปให้ไว้กับจำเลย หากผู้เสียหายชำระเงินจำนวน 700,000 บาท จะนำโฉนดที่ดินมาคืนให้ และจำเลยยังได้โทรศัพท์มาหาผู้เสียหายให้ผู้เสียหายชำระเงินคืนให้ พฤติการณ์มีเหตุอันสมควรทำให้จำเลยเข้าใจว่า ป. มีสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายจากผู้เสียหาย เมื่อ ป. ตกลงให้จำเลยรับเงินจากผู้เสียหายแทนโดยมอบโฉนดที่ดินแก่ผู้เสียหายจนกว่าผู้เสียหายจะชำระค่าใช้จ่ายในการออกโฉนดที่ดินให้ก่อนนั้น จำเลยจึงขาดเจตนากระทำความผิด ตาม ป.อ. มาตรา 188
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188, 83
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188, 83 จำคุก 2 ปี และปรับ 9,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน และปรับ 6,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี กับให้คุมความประพฤติจำเลยไว้มีกำหนด 1 ปี โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 เดือน ต่อครั้ง ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า แม้ผู้เสียหายจะไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับจำเลยผู้เสียหายคงมีนิติสัมพันธ์กับนางปัณฑารีย์ เนื่องจากผู้เสียหายมอบอำนาจให้นางปัณฑารีย์ไปดำเนินการออกโฉนดที่ดินแทนผู้เสียหายตามที่โจทก์ฎีกา แต่การที่จำเลยยึดหน่วงโฉนดที่ดินทั้ง 3 ฉบับ ของผู้เสียหายไว้ สืบเนื่องมาจากนางปัณฑารีย์กู้ยืมเงินจากจำเลย โดยจำเลยเบิกความว่านางปัณฑารีย์กู้ยืมจากจำเลยเพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้เสียหาย โดยจะได้รับเงินค่าจ้างเป็นการตอบแทนหลังจากได้รับโฉนดที่ดินแล้ว มีการทำสัญญากู้ยืมเงินระหว่างนางปัณฑารีย์และจำเลยลงวันที่ 19 มีนาคม 2541 โดยนางปัณฑารีย์นำโฉนดที่ดินทั้ง 3 ฉบับ ให้จำเลยยึดถือไว้เป็นประกันตามสัญญากู้เงินตามกฎหมายใหม่ ทั้งข้อเท็จจริงยังได้ความว่านางปัณฑารีย์มิได้เป็นญาติหรือมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องอันใดกับผู้เสียหายในการที่จะดำเนินการรังวัดออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้เสียหายโดยไม่คิดค่าตอบแทน ดังนั้น แม้ผู้เสียหายจะเบิกความว่าไม่เคยตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายในการดำเนินการขอออกโฉนดที่ดินกับนางปัณฑารีย์ แต่ผู้เสียหายก็เบิกความด้วยว่านางปัณฑารีย์แจ้งว่านำโฉนดที่ดินทั้ง 3 ฉบับ ไปให้ไว้กับจำเลย หากผู้เสียหายชำระเงินจำนวน 700,000 บาท จะนำโฉนดที่ดินมาคืนให้ และจำเลยยังได้โทรศัพท์มาหาผู้เสียหายให้ผู้เสียหายชำระเงิน ตามพฤติการณ์ดังกล่าวมีเหตุอันสมควรที่ทำให้จำเลยเข้าใจว่านางปัณฑารีย์มีสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายจากผู้เสียหายในการไปขอออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้เสียหาย เมื่อนางปัณฑารีย์ตกลงให้จำเลยเป็นผู้รับเงินจากผู้เสียหายแทนโดยมอบโฉนดที่ดินทั้ง 3 ฉบับ ให้จำเลยยึดถือไว้ การที่จำเลยไม่คืนโฉนดที่ดินทั้ง 3 ฉบับ ให้แก่ผู้เสียหายจนกว่าผู้เสียหายจะชำระค่าใช้จ่ายในการออกโฉนดที่ดินทั้ง 3 ฉบับให้ก่อนนั้น จึงเป็นเรื่องที่จำเลยขาดเจตนาในการกระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน