แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นเจ้าของเรือชื่อเบญจมาศ ขอทำประกันภัยไว้กับจำเลยโดยรับรองว่าเรืออยู่ในสภาพดีพร้อมที่จะเดินทาง จำเลยตกลงรับประกันภัยโดยระบุในกรมธรรม์ประกันภัยโดยระบุเงื่อนไขและข้อยกเว้นความรับผิดที่สำคัญไว้หลายประการ คือ การประกันภัยให้บังคับตามกฎหมายและประเพณีปฏิบัติของประเทศอังกฤษ ผู้เอาประกันภัยมีหน้าที่เปิดเผยข้อเท็จจริงทั้งปวงให้ผู้รับประกันภัยทราบ ผู้เอาประกันภัยให้คำรับรองว่าเรือต้องมีใบอนุญาตพร้อมและได้รับการจดทะเบียนจากกรมขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวีตลอดอายุกรมธรรม์ประกันภัย (WARRENTED THE VESSEL IS LICENSED AND REGISTERRED BY HARBOUR DEPARTMENT THROUGHOUT THE CURRENCY OF THE POLICY) และผู้เอาประกันภัยให้คำรับรองว่าเรือจะต้องติดตั้งอุปกรณ์ให้เหมาะสมตามข้อบังคับของกรมขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี (WARRENTED VESSEL BE PROPERLY EQUIPPED IN ACCORDANCE WITH THE REQUIREMENT OF THE HARBOUR DEPARTMENT) แต่ปรากฏจากผลการสำรวจความเสียหายของบริษัทผู้สำรวจภัยรายงานว่าเหตุที่เรือจม เกิดจากสาเหตุที่ตัวเรือและเครื่องจักรมีอายุใช้งานมานาน และไม่ได้รับการซ่อมแซมดูแลอย่างเพียงพอ ซึ่งในทางประกันภัยถือว่าไม่มีความเหมาะสมในการเดินทะเล และไม่ปรากฏพยานหลักฐานแสดงว่าเรือชนวัตถุใต้น้ำหรือเผชิญสภาวะอากาศเลวร้าย ทั้งจากการตรวจสอบหลักฐานทะเบียนทางเรือแล้ว ไม่ปรากฏว่าเรือได้รับการจดทะเบียนจากทางราชการเพราะเอกสารตามที่โจทก์กล่าวอ้างว่าได้รับใบอนุญาตให้ใช้เรือชั่วคราวนั้น มิใช่เอกสารที่ออกโดยกรมขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี ถือว่าเป็นกรณีที่ไม่ได้มีการปฏิบัติตามข้อรับรองที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย คดีจึงฟังได้ว่าโจทก์ผิดเงื่อนไขตามกรมธรรม์ประกันภัยในข้อคำรับรองว่าเรือต้องได้รับใบอนุญาตและได้รับการจดทะเบียนจากการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี และเรือต้องมีอุปกรณ์เครื่องมือที่ถูกต้องเหมาะสมตามเงื่อนไขของกรมขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี (Breach of warranty on Seaworthiness of ship) อันเป็นผลให้ผู้รับประกันภัยหลุดพ้นจากการรับผิดในทันที ฉะนั้น ขณะเกิดเหตุกรมธรรม์ประกันภัยจึงไม่ให้ความคุ้มครอง ไม่ว่าภัยที่เกิดแก่เรือจะได้เกิดขึ้นเพราะสาเหตุตามที่โจทก์กล่าวอ้างหรือไม่ จำเลยผู้รับประกันภัยจึงไม่ต้องรับผิดจ่ายเงินค่าสินไหมทดแทนความเสียหายให้แก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนเป็นความเสียหายต่อเรือทั้งลำและอุปกรณ์การเดินเรือเป็นเงิน 510,000 ดอลลาร์สหรัฐ ค่าใช้จ่ายและค่าดำเนินการจัดส่งลูกเรือกลับภูมิลำเนา 25,196 ดอลลาร์สหรัฐ ค่าบริการตัวแทนด้านพิธีการและป้องกันมลภาวะ ณ ประเทศที่เกิดเหตุ 5,764 ดอลลาร์สหรัฐ ทรัพย์สินมีค่าของลูกเรือที่สูญหาย 4,673 ดอลลาร์สหรัฐ ค่าสินค้า 549,963 ดอลลาร์สหรัฐ ค่าใช้จ่ายเจ้าหน้าที่โจทก์เพื่ออำนวยความสะดวกผู้สำรวจภัย 5,012 ดอลลาร์สหรัฐ ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง 38,201 ดอลลาร์สหรัฐ ค่าความเสียหายที่โจทก์ไม่สามารถประกอบการได้คิดเพียง 6 เดือน 24,000 ดอลลาร์สหรัฐ ดอกเบี้ยในค่าใช้จ่ายที่โจทก์ทดรองจ่ายอัตราร้อยละ 15 ต่อปี คิดเพียง 6 เดือน ถึงวันที่ 7 มีนาคม 2547 ในต้นเงิน 628,809 ดอลลาร์สหรัฐ เป็นเงิน 47,160 ดอลลาร์สหรัฐ รวมเป็นเงิน 1,209,969 ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทย 51,786,673 บาท ขณะเกิดเหตุอัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 42.80 บาท
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษา ให้จำเลยชำระเงิน 9,482,387.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 4 มิถุนายน 2547) จนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 200,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า โจทก์ปฏิบัติผิดเงื่อนไขตามกรมธรรม์ประกันภัยในข้อที่เกี่ยวกับคำรับรองว่า “เรือต้องได้รับใบอนุญาตและได้รับการจดทะเบียนจากกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวีตลอดอายุของกรมธรรม์ประกันภัย” และ “เรือต้องมีอุปกรณ์เครื่องมือที่ถูกต้องเหมาะสมตามเงื่อนไขของกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวีหรือไม่ นายพิสิษฐ์ พยานจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รับประกันภัยของบริษัทจำเลยทำบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงและความเห็นว่า เมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม 2546 โจทก์แจ้งขอเอาประกันภัยเรือเบญจมาศ โดยรับรองว่าเรืออยู่ในสภาพดีพร้อมที่จะเดินทาง จำเลยจึงตกลงรับประกันภัยโดยออกกรมธรรม์ประกันภัย ซึ่งระบุเงื่อนไขและข้อยกเว้นที่สำคัญไว้หลายประการ คือ การประกันภัยให้บังคับตามกฎหมายและประเพณีปฏิบัติของประเทศอังกฤษ ผู้เอาประกันภัยมีหน้าที่เปิดเผยข้อเท็จจริงทั้งปวงให้ผู้รับประกันภัยทราบ ผู้เอาประกันภัยให้คำรับรองว่าเรือจะต้องมีใบอนุญาตพร้อมและได้รับการจดทะเบียนจากกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวีตลอดอายุกรมธรรม์ประกันภัย ผู้เอาประกันภัยให้คำรับรองว่าเรือจะต้องติดตั้งอุปกรณ์ให้เหมาะสมตามกฎข้อบังคับของกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี และจำกัดเส้นทางจากทะเลแคริบเบียนเพื่อเดินทางมายังประเทศไทยหนึ่งเที่ยว จากนั้นนำมาประกอบการขนส่งเป็นปกติในเอเชียอาคเนย์ เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2546 โจทก์แจ้งว่าเรือเบญจมาศเกยตื้นและจมลงที่ชายฝั่งประเทศไอวอรีโคสต์ จำเลยจึงว่าจ้างบริษัทดับเบิลยู เค เว็บสเตอร์ (อินเตอร์เนชั่นแนล) จำกัด ให้สำรวจความเสียหาย บริษัทดับเบิลยู เค เว็บสเตอร์ (อินเตอร์เนชั่นแนล) พีทีอี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือที่ประเทศสิงคโปร์เป็นผู้สำรวจความเสียหาย ตามภาพถ่ายเรือที่เกยตื้นและภาพถ่ายของประดาน้ำรวม 34 ภาพ และทำรายงานลงวันที่ 30 ธันวาคม 2546 เสนอจำเลย โดยสรุปข้อเท็จจริงและความเห็นว่า ตามที่ผู้สำรวจภัยได้พบและได้ตรวจดูเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวกับเรือ สาเหตุแท้จริงของน้ำเข้าเรือยังลึกลับอยู่ ผู้สำรวจภัยมีความเห็นว่า เจ้าของเรือไม่ได้เอาใจใส่ดูแลเท่าที่ควรเพื่อให้เรืออยู่ในสภาพเหมาะสมในการเดินทะเลก่อนเวลาเริ่มเดินทางและขณะเดินทาง ภาพถ่ายก็แสดงการผุกร่อนหลายแห่ง สภาพทั่วไปของเรือไม่ดี การบำรุงรักษาเรือไม่ดีทำให้เชื่อว่าเปลือกโครงสร้างเรือไม่สามารถต้านทานแรงลมและคลื่นทะเลได้ มีมูลที่ผู้รับประกันภัยสามารถอ้างได้ว่าเรือไม่เหมาะสมที่จะเดินทะเลและฝ่าฝืนข้อความรับรองที่ระบุชัดแจ้งในกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยจึงมอบหมายให้บริษัทพี แอนด์ เอ แอ็ดจัสเม้นท์ จำกัด ทำการตรวจสอบและให้ความเห็นว่าข้อเรียกร้องของโจทก์ถูกต้องตามเงื่อนไขความคุ้มครองในกรมธรรม์ประกันภัยหรือไม่ โดยจำเลยมีนายพิชัย กรรมการผู้จัดการ และนายเฮอร์มัน ไบรอัน เปเรร่า ที่ปรึกษาทางทะเลของบริษัทพี แอนด์เอ แอ็ดจัสเม้นท์ จำกัด ยื่นบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงและความเห็นประกอบรายงานความเห็นลงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2547 ซึ่งได้จัดทำขึ้นภายหลังจากการประชุมร่วมกับผู้แทนของโจทก์และจำเลยที่สำนักงานของโจทก์เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2547 และตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้องแล้ว มีความเห็นเช่นเดียวกับบริษัทดับเบิลยู เค เว็บสเตอร์ (อินเตอร์เนชั่นแนล) พีทีอี จำกัด ว่าโจทก์ประพฤติผิดเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัยด้วยเหตุ 2 ประการ คือ
1. ตัวเรือและเครื่องจักรมีอายุการใช้งานมานาน มีการผุกร่อน และไม่ได้รับการซ่อมแซมดูแลอย่างพอเพียง ซึ่งในการประกันภัยถือว่าไม่มีความเหมาะสมในการเดินทะเล จากการดูเทปวิดีโอและภาพถ่ายที่ประดาน้ำถ่ายไว้ ไม่มีพยานหลักฐานแสดงว่าเรือชนวัตถุใต้น้ำ หรือเผชิญสภาวะอากาศเลวร้าย การรับประกันทั่วไปจะยึดถือหลักว่าเรือต้องมีสภาพที่เหมาะสมในการเดินทะเลตั้งแต่วันที่เรือออกเดินทาง
2. กรมธรรม์ประกันภัยระบุข้อรับรองโดยชัดแจ้งว่า “ขอรับรองว่าเรือที่เอาประกันภัยต้องมีใบอนุญาตและจดทะเบียนต่อกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี ตลอดระยะเวลาประกันภัย” และ “ขอรับรองว่าเรือที่เอาประกันภัยต้องมีอุปกรณ์ที่ทางราชการกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวีกำหนด” การที่เรือไม่ได้รับการจดทะเบียนหรือไม่มีใบอนุญาตจากทางราชการหรือใบอนุญาตขาดอายุแล้วไม่มีการต่ออายุ ถือได้ว่าไม่มีการปฏิบัติตามข้อรับรองที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย โจทก์อ้างในคำฟ้องว่าเรือเบญจมาศจดทะเบียนเรือไทย เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2546 ตามสำเนาทะเบียนเรือกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี หลังจากนั้นจึงได้ทำประกันวินาศภัยกับจำเลย โดยโจทก์มีนายสมภพ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ กับนายวิมล พนักงานตำแหน่งผู้จัดการกองเรือของโจทก์ทำบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงและความเห็นประกอบกันว่า เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2546 โจทก์ขอใบอนุญาตจดทะเบียนเรือต่อกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี เจ้าพนักงานตรวจสอบแล้วอนุญาตให้จดทะเบียนเรือใหม่ ทะเบียนเลขที่ 4600 – 01593 ตามสำเนาทะเบียนเรือชั่วคราวและเอกสารประกอบรวม 4 แผ่น แผ่นที่ 1 ตรงกับเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 จากนั้นโจทก์ขอหมายเลขสัญญาณเรียกขานเรือและขอรหัสดาวเทียมใช้ในการติดต่อและเดินเรือตามกฎการเดินเรือสากลได้รับอนุมัติสัญญาณเรียกขาน HS 2991 หมายเลข MMSI 567 229 000 ตามหลักฐานการขอสัญญาณเรียกขานและหนังสืออนุมัติ และโจทก์ยื่นคำขอให้กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวีออกเอกสารประกอบการเดินเรือเป็นการชั่วคราว เพื่อใช้ในการเดินทางกลับมาตรวจเรือ ณ ประเทศไทยมีกำหนดระยะเวลา 180 วัน สำหรับเอกสารที่โจทก์อ้างเพื่อแสดงว่าเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2546 เรือเบญจมาศได้รับอนุญาตและจดทะเบียนจากกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวีนั้น จำเลยมีหนังสือของเรือโทพิทยา ผู้อำนวยการกองตรวจเรือ กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี ที่ยืนยันว่าเอกสารฉบับนี้ไม่ได้เป็นสำเนาทะเบียนเรือกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี หากแต่เป็นเพียงหลักฐานที่แสดงว่าเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2546 โจทก์ยื่นคำร้องขอไว้ล่วงหน้าเพื่อให้เจ้าพนักงานตรวจเรือ ตรวจเรือเพื่อจดทะเบียนเรือใหม่ ในวันเดียวกันกองทะเบียนเรือได้กำหนดเลขหมายทะเบียนเรือ คือ 4600 – 01593 ให้ไปก่อน กับเป็นคำขอให้ออกสัญญาณเรียกขานเรือชั่วคราวให้ก่อน ซึ่งกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวีก็ได้อนุญาตให้ใช้สัญญาณเรียกขานชั่วคราว HSB 2991 ด้วย โดยยังไม่ได้มีการตรวจเรือเพื่อจดทะเบียน ในชั้นเรียกร้องให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโจทก์มีหนังสือลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2547 ส่งเอกสาร 17 ชุด เพื่อให้จำเลยใช้พิจารณาประกอบการจ่ายเงินค่าสินไหมทดแทน โดยเอกสารชุดที่ 11 ซึ่งระบุว่าเป็นใบรับรองสำหรับเรือเบญจมาศทั้งหมด 14 ฉบับ แต่เอกสารที่โจทก์ส่งให้แก่จำเลยมีจำนวน 16 ฉบับ เอกสารทั้งหมดระบุว่าออกให้โดยกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี ฉบับที่ 1 ออกให้เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2546 ส่วนฉบับที่ 2 ถึงที่ 16 ออกให้เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2546 เอกสารทั้ง 16 ฉบับ ลงลายมือชื่อโดย MR.VICHAI THONGORN ตำแหน่ง GOVERNMENT SHIP SURVEYOR และประทับตรากองตรวจเรือ กรมเจ้าท่า กำกับการลงลายมือชื่อ กับมีการรับรองสำเนาถูกต้องโดยลงลายมือชื่อ MR.VICHAI THONGORN ตำแหน่ง GOVERNMENT SHIP SURVEYOR และประทับตรากองตรวจเรือ กรมเจ้าท่า ทั้ง 16 ฉบับ เอกสารทั้ง 16 ฉบับนี้ โจทก์อ้างเพื่อแสดงว่ามีการตรวจสอบเรือเบญจมาศทั้งตัวเรือและอุปกรณ์ในเรือ รวมถึงระบบวิทยุ ระบบความปลอดภัยและระบบต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการเดินเรือระหว่างประเทศแล้ว รับรองว่าอยู่ในสภาพดี ในชั้นพิจารณาจำเลยได้ระบุพยานและมีคำขอให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างกลางมีคำสั่งเรียกเอกสารทั้ง 16 ฉบับ ดังกล่าวจากกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี กับหมายเรียกผู้อำนวยการกองตรวจเรือหรือผู้แทนและนายวิชัย มาเบิกความ แต่กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวีมีหนังสือแจ้งตอบว่าได้ทำการตรวจสอบแล้วปรากฏว่าเอกสารดังกล่าวไม่ได้ออกโดยกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวีจึงไม่สามารถส่งศาลประกอบการพิจารณาได้ และกองตรวจเรือมีหนังสือแจ้งตอบว่า กองตรวจเรือได้มอบหมายให้นายวิบูลย์ ตำแหน่งเจ้าพนักงานตรวจเรือ 5 กลุ่มตรวจสภาพเรือเป็นผู้แทนในการเป็นพยานศาล สำหรับนายวิชัย ไม่มีชื่อปรากฏในกองตรวจเรือแต่อย่างใด ทั้งจำเลยยังมีนายวิบูลย์ผู้ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการกองตรวจเรือมาเบิกความยืนยันว่า เอกสารตามหมายเรียกทุกฉบับไม่ได้ออกโดยกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี แม้เลขที่อ้างอิงในหนังสือก็ไม่ใช่ลักษณะเลขที่อ้างอิงของกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี และไม่ปรากฏว่ามีเจ้าพนักงานชื่อนายวิชัย ในกองตรวจเรือ
เมื่อเรือเบญจมาศประสบอุบัติเหตุโจทก์ได้ยื่นคำร้องต่อกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวีขออนุมัตินายช่างไปตรวจเรือที่ประสบอุบัติเหตุ ก็ปรากฏข้อเท็จจริงตามสำเนาหนังสือของกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี ที่ คค 0301/00681 ลงวันที่ 16 กันยายน 2546 ถึงรองปลัดกระทรวงคมนาคม หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านการขนส่ง อ้างถึงเหตุที่อนุมัติให้ข้าราชการเดินทางไปต่างประเทศว่า กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี ได้รับแจ้งจากบริษัทโจทก์ว่า ได้ซื้อเรือยนต์ชื่อเบญจมาศ กำหนดส่งมอบเรือที่ประเทศไอวอรีโคสต์ในวันที่ 19 กันยายน 2546 จึงขอให้เจ้าพนักงานตรวจเรือเดินทางไปตรวจเรือดังกล่าว เพื่อออกใบอนุญาตให้เรือชั่วคราว ณ ประเทศไอวอรีโคสต์ กรณีมิใช่เรื่องการขออนุมัติให้ไปตรวจเรือที่ประสบอุบัติเหตุดังที่โจทก์อ้าง และการที่โจทก์แจ้งขอให้เจ้าพนักงานตรวจเรือเดินทางไปตรวจเรือเพื่อออกใบอนุญาตชั่วคราว โดยแจ้งกำหนดส่งมอบเรือวันที่ 19 กันยายน 2546 ดังกล่าว ทำให้ขัดแย้งกับที่โจทก์นำสืบว่า โจทก์ได้รับมอบเรือตามสัญญาซื้อขายแล้ว และโจทก์ได้จัดการให้มีการสำรวจเรือ และขัดแย้งกับที่โจทก์นำสืบว่า โจทก์ได้รับเอกสารประกอบการเดินเรือเป็นการชั่วคราวก่อนเรือประสบอุบัติเหตุเพื่อใช้ในการเดินทางกลับมาตรวจสภาพเรือที่ประเทศไทย ส่วนพยานหลักฐานของจำเลยที่มีหนังสือของผู้อำนวยการกองตรวจเรือ ยืนยันว่า โจทก์เพียงแต่ยื่นคำร้องไว้ล่วงหน้าเพื่อให้เจ้าพนักงานตรวจเรือ ตรวจเรือเมื่อจดทะเบียนเรือใหม่ กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวีมีหนังสือ แจ้งยืนยันว่าเอกสารทั้ง 16 ฉบับ ที่โจทก์อ้างเพื่อแสดงว่ามีการตรวจเรือเบญจมาศแล้วอยู่ในสภาพดี มิใช่เอกสารที่ออกโดยกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี ประกอบกับจำเลยมีรายงานของบริษัทดับเบิลยู เค เว็บสเตอร์ (อินเตอร์เนชั่นแนล) พีทีอี จำกัด ซึ่งมีรายละเอียดลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนขณะและหลังจากเรือเกยตื้นอย่างชัดเจนและสมเหตุผล รายงานผลการตรวจสอบของประดาน้ำก็พบสภาพท้องเรือมีหอยและพืชน้ำเกาะ และมีร่องรอยผุกร่อนในลักษณะของการขาดการบำรุงรักษา โดยมีภาพถ่ายรายละเอียดของเรือที่เกยตื้น รวม 34 ภาพ ที่สอดคล้องกับรายงาน พยานหลักฐานของจำเลยดังกล่าวมีน้ำหนักน่าเชื่อถือกว่าพยานหลักฐานโจทก์ เชื่อได้ว่านับตั้งแต่เอาประกันภัยไว้กับจำเลยจนกระทั่งเรือเกยตื้น เรือเบญจมาศยังไม่เคยได้รับการตรวจเพื่อจดทะเบียน ไม่เคยได้รับใบอนุญาตหรือได้รับการจดทะเบียนจากกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี และไม่อยู่ในสภาพพร้อมที่จะเดินเรือได้โดยปลอดภัย คดีฟังได้ว่าโจทก์ปฏิบัติผิดเงื่อนไขตามกรมธรรม์ประกันภัยในข้อคำรับรองว่า เรือต้องได้ รับใบอนุญาตและได้รับการจดทะเบียนจากกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวีตลอดอายุของกรมธรรม์ประกันภัย และเรือต้องมีอุปกรณ์เครื่องมือที่ถูกต้องเหมาะสมตามเงื่อนไขของกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี อันเป็นผลให้ผู้รับประกันภัยหลุดพ้นจากความรับผิดในทันที ฉะนั้น ขณะเกิดเหตุกรมธรรม์ประกันภัย จึงไม่ให้ความคุ้มครองไม่ว่าภัยจะเกิดขึ้นจริงตามที่โจทก์กล่าวอ้างหรือไม่ จำเลยผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดจ่ายเงินค่าสินไหมทดแทนความเสียหายให้แก่โจทก์ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น ส่วนอุทธรณ์ของโจทก์ที่ขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพิ่มขึ้นอีกจนเต็มจำนวนมูลค่าความเสี่ยงนั้นฟังไม่ขึ้น และกรณีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในปัญหาข้ออื่น เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ